ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา มักตึงเครียดและรุนแรงขึ้นในช่วงที่ “พรรคเพื่อไทย” เป็นรัฐบาล และคนในตระกูล “ชินวัตร” เป็นนายกรัฐมนตรี หลังเหตุการณ์สงบมายาวนาน

ครั้งแรก ปี 2546 ชาวกัมพูชาไม่พอใจที่สื่อกัมพูชาลงข่าวกล่าวหานักแสดงหญิงไทยชื่อดัง อ้างว่า นครวัดเป็นของไทย ถึงขั้นบุกสถานทูตไทยในกรุงพนมเปญ ปล้น และเผา ทำให้คนไทยหนีตายจ้าละหวั่น

ครั้งนั้น “ทักษิณ ชินวัตร” เป็นนายกรัฐมนตรี นำมาซึ่ง “ปฏิบัติการโปเชนตง” ปฏิบัติการกู้ภัยทางการทหาร ส่งเครื่องบินไปรับคนไทยกลับบ้าน ได้ใจคนไทยไปเต็มๆ และหลังจากนั้น ไทย-กัมพูชา อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข แม้มีเรื่องกระทบกระทั่งกันบ้าง ก็เพียงเล็กน้อย เหมือนเพื่อนบ้านทะเลาะกัน

ครั้งนี้ “แพทองธาร ชินวัตร” เป็นนายกฯ เหตุการณ์รุนแรงขึ้นตั้งแต่เดือน มี.ค.68 จากการเผาศาลาตรีมุข ตรงสามเหลี่ยมมรกตใกล้ช่องบก อุบลราชธานี จุดร่วมที่ทหาร 3 ชาติ ไทย ลาว กัมพูชา สร้างขึ้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของมิตรภาพ และมีการยั่วยุไทยอีกหลายเหตุการณ์ตามมา

จนวันที่ 28 มิ.ย.68 ทหารไทยและกัมพูชาปะทะกันที่ช่องบก เพราะพบว่า กัมพูชารุกคืบแผ่นดินไทยเข้ามา 150 เมตร และขุดคูเลต หรือสนามเพลาะ ถือเป็นการละเมิด MOU 2543 แต่กัมพูชาอ้างว่า เป็นแผ่นดินของตน พร้อมเตรียมข้อมูลฟ้องศาลโลก เพื่อเอาดินแดนคืนจากไทย ทั้งปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย และพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต

ฝ่ายรัฐบาลไทยทำได้แค่ใช้สันติวิธี ไม่โต้กลับแบบรุนแรง อ้างว่า จะกระทบประชาชน 2 ฝ่าย และเจรจาภายใต้คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ที่จะประชุมวันที่ 14 มิ.ย.นี้ ขณะที่ทหารไทยปิดด่านแล้วเพื่อความปลอดภัย ทั้งด่านอรัญประเทศ จ.สระแก้ว ด่านคลองใหญ่ จ.ตราด และจันทบุรี

...

แต่ล่าสุดวันที่ 8 มิ.ย.68 จากการเจรจาของทหารทั้ง 2 ฝ่าย ทำให้กัมพูชายอมถอยกลับไปอยู่ที่ตั้งเดิม กลบสนามเพลาะ และรอการเจรจา JBC แก้ปัญหาข้อพิพาทดินแดน วันที่ 14 มิ.ย.นี้

เหตุการณ์นี้กูรูการเมืองวิเคราะห์ว่า เป็น “ไทย-กัมพูชาการละคร” เพราะทักษิณ และฮุน เซน สนิทกันมาก แค่ยกหูโทรศัพท์ก็เคลียร์กันจบ แต่เพราะกัมพูชาอยากสร้างกระแสคลั่งชาติ ปั้น “ฮุน มาเนต” นายกฯปัจจุบัน เป็น “ฮีโร่” จากความนิยมตกต่ำ

ส่วนไทยก็กลบข่าวศาลนัดไต่สวนชี้ชะตาทักษิณ ปมรักษาตัวชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ, การพิจารณา พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจรของรัฐสภาเดือน ก.ค.นี้ และเพื่อไทยตั้งใจจะให้ผ่าน 3 วาระรวด

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่า “ใคร” มีจุดประสงค์ใด แต่ความเสียหายเกิดขึ้นกับประชาชน และธุรกิจของ 2 ฝ่ายแล้ว กระทรวงพาณิชย์ประเมินว่า หากปิดด่านอย่างถาวร หรือปิดหลายด่านพร้อมกัน จะกระทบการค้าชายแดน 2 ฝ่ายทันที ซึ่งปี 67 มีมูลค่า 174,530 ล้านบาท ตลาดชายแดนหยุดชะงัก การขนส่งสินค้าต้องเปลี่ยนเส้นทาง ผู้ส่งออกต้องหาตลาดใหม่ ความเชื่อมั่นนักลงทุนลดลง ฯลฯ

ถ้าครั้งนี้เป็น “การละคร” จริง การหาประโยชน์เพื่อตนเอง แต่สร้างความเสียหายให้ประชาชน ประเทศชาติ เป็นสิ่งที่ “ผู้นำ” สมควรทำหรือ?? และสมควรเป็น “ผู้นำ” ต่อหรือไม่??

ฟันนี่เอส

คลิกอ่านคอลัมน์ “กระจก 8 หน้า” เพิ่มเติม