กต. แถลงไทยยกระดับโต้กัมพูชา หลังปฏิเสธข้อเสนอลดความตึงเครียด-เสริมกำลังพลเข้าประชิดแนวชายแดน พร้อมเดินหน้าเจรจาอย่างสันติวิธี แต่การตอบสนองไม่เป็นบวก ยันประชุม JBC ยังมีอยู่ ด้านโฆษก ทบ. เผย ผบ.ทบ.เป็นห่วงคนชายแดน โยนอำนาจเปิดปิดด่านเป็นของพื้นที่
เวลา 16.40 น. วันที่ 7 มิ.ย. 68 ที่กระทรวงการต่างประเทศ นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมด้วย พันเอกหญิง แพทย์หญิงดังใจ สุวรรณกิตติ โฆษกกระทรวงกลาโหม และพลตรีวินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ร่วมกันแถลงข่าวถึงความคืบหน้าสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา

โดยนายนิกรเดช กล่าวถึงความคืบหน้าล่าสุดของสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ตามที่เกิดเหตุปัญหาเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม ที่ผ่านมาบริเวณช่องบก อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยจำเป็นต้องป้องกันตัวเองและปกป้องอธิปไตยของไทยให้เป็นไปอย่างเหมาะสม สอดคล้องตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ให้เป็นไปตามหลักสากล ที่ผ่านมาฝ่ายไทยใช้ความอดทนอดกลั้นและแก้ไขสถานการณ์ด้วยสันติวิธี โดยเรียกร้องขอกัมพูชา พยายามลดความตึงเครียดในพื้นที่ และจำกัดความขัดแย้งให้อยู่เพียงในจุดที่เกิดเหตุ โดยมีการพูดคุยหารือทั้งระดับนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และกองทัพบกของทั้ง 2 ประเทศ บนพื้นฐานของความสุจริตใจ และความสัมพันธ์ที่ดีของไทยและกัมพูชาในฐานะประเทศเพื่อนบ้านและประเทศสมาชิกอาเซียน ซึ่งทั้งสองฝ่ายก็เห็นพ้องถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี โดยผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่แล้วมาโดยตลอด
...
ล่าสุดเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2568 รองนายกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของทั้ง 2 ประเทศ ได้มีการหารือกันที่จังหวัดสระแก้วเพื่อหาทางออกร่วมกัน โดยฝ่ายไทยพยายามย้ำอีกครั้งถึงความจำเป็นในการลดระดับความตึงเครียดบริเวณชายแดน และให้ปรับกำลังทหารให้เป็นไปตามแนวทางปฏิบัติเดิม ก่อนที่จะเกิดเหตุความขัดแย้ง เพื่อลดการปะทะของทหารที่จะส่งผลกระทบกับประชาชนของทั้งสองประเทศ
อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าเสียดายที่ฝ่ายกัมพูชาปฏิเสธทันทีต่อข้อเสนออีกทั้งยังมีการเสริมกำลังทหารตามบริเวณพื้นที่ชายแดนอย่างต่อเนื่อง รวมถึงยังปฏิเสธที่จะปฏิบัติตาม MOU 43 บนพื้นฐานการเจรจาแบบสันติวิธีซึ่งการเจรจาดังกล่าวเพิ่มความตึงเครียดและทำให้สถานการณ์ในพื้นที่มีความเปราะบางมากขึ้น การดำเนินการของฝ่ายกัมพูชาข้างต้นแสดงให้เห็นถึงการขาดเจตนารมณ์และความจริงใจที่จะร่วมมือกับฝ่ายไทยในการที่จะลดความตึงเครียด และทำให้สถานการณ์กลับมาเป็นปกติ
ดังนั้นเป็นไปตามมติที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) วันที่ 6 มิถุนายน 2568 และเพื่อเป็นการรักษาความมั่นคงและความปลอดภัยของประชาชนไทยตามแนวชายแดน ฝ่ายไทยจึงจำเป็นต้องพิจารณาใช้มาตรการควบคุมการเปิดปิดจุดผ่านแดนไทย-กัมพูชา โดยที่ประชุมสมช.ได้มอบหมายให้กองทัพภาคที่ 1 และกองทัพภาคที่ 2 รวมถึงกองกำลังจันทบุรี-ตราด โดยที่ประชุมสมช.ได้มอบหมายให้กองทัพภาคที่ 1 และกองทัพภาคที่ 2 เป็นผู้กำหนดมาตรฐาน กฎเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขเวลาที่เหมาะสมตามสถานการณ์บริเวณจุดผ่านแดนทุกประเภทตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งความเข้มข้นของการควบคุมเป็นไปตามสถานการณ์ความตึงเครียด

นายนิกรเดช ย้ำว่าการดำเนินการของไทยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อรักษาความปลอดภัยของประชาชนไทยและกัมพูชาในพื้นที่ชายแดน และความสงบเรียบร้อยตลอดแนวชายแดน โดยฝ่ายไทยจะคำนึงและระมัดระวังไม่ให้การดำเนินการดังกล่าวส่งผลกระทบต่อการค้าขายและความเป็นอยู่ของประชาชนของทั้ง 2 ประเทศที่อาศัยอยู่ในบริเวณดังกล่าว รวมทั้งด้านมนุษยธรรม
ทั้งนี้ไทยเรียกร้องให้กัมพูชาลดระดับความตึงเครียดตามแนวชายแดนเพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์ลุกลาม ที่จะส่งผลเสียกับประชาชนทั้งสองฝ่ายตามแนวชายแดน และฝ่ายไทยยืนยันความพร้อมที่จะใช้กลไกทวิภาคีโดยการใช้การประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ไทยกัมพูชา ที่จะมีกำหนดเกิดขึ้นในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ รวมถึงกลไกทวิภาคีอื่น เพื่อหาทางออกร่วมกันอย่างสันติบนพื้นฐานความเคารพและความจริงใจต่อกัน เพื่อให้ชายแดนไทย-กัมพูชากลับไปสู่ความสงบสุขเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนทั้ง 2 ประเทศ โดยย้ำว่าการประชุม JBC ยังคงมีอยู่และหวังว่าจะเป็นการเจรจาจริงใจ
โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่ากระทรวงกลาโหมมีหน้าที่รับและดำเนินการตามนโยบายของนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ผ่านมาไม่ได้ละเลย หากแต่อดทนและพยายามใช้การเจรจาอย่างสันติวิธี มากไปกว่านั้นยังได้กำชับให้กำลังพลในพื้นที่เฝ้าระวังไม่ให้เกิดการรุกล้ำเป็นอันขาด แต่กระบวนการที่ผ่านมากลับได้รับการตอบสนองไม่เป็นทางบวก จึงต้องปรับมาตรการ ซึ่งที่ประชุมสมช.ได้มอบหมายให้กองทัพบกเป็นผู้รับผิดชอบนำแผนไปปฏิบัติต่อ

...
พลตรี วินธัย กล่าวว่า ในส่วนของกองทัพบก โดยกองทัพภาคที่ 1 และภาคที่ 2 กองบัญชาการหน่วยบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรี และตราด กองทัพบกได้มีการอำนวยการให้ผู้ขับหมวดทหารในพื้นที่กองกำลังสุรนารี และกองกำลังบูรพา มีอำนาจในการควบคุม เปิด-ปิดจุดผ่านแดน ซึ่งเพิ่มเติมในเรื่องขั้นตอน การดำเนินการยังคงนึกถึงผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตกิจกรรมที่มีบริเวณชายแดน ให้แต่ละหน่วยได้พิจารณาขั้นตอน คือ ขั้นตอนแต่ละจุด อาจจะไม่เหมือนกัน โดยขั้นตอนแรกเป็นเรื่องของการจำกัดบุคคล จะมีการคัดกรอง เช่น กลุ่มคนที่อาจจะไปเล่นการพนัน หรือกลุ่มคนที่ไปสนับสนุนการกระทำผิดกฎหมายต่างๆ แต่สำหรับส่วนอื่นๆ เจ้าหน้าที่ยังพิจารณาสามารถที่จะเข้าออกได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก มีความห่วงใยกลุ่มที่จะเดินทางเข้ามารับการศึกษา เช่น นักเรียน นักศึกษา และกลุ่มคนที่ต้องมีการเข้าออกรักษาพยาบาล โดยเฉพาะคนชรา
ส่วนขั้นที่สองนั้น พลตรีวินธัย กล่าวต่อว่า เป็นลักษณะควบคุมเรื่องเวลา กำหนดช่วงเวลาเข้า-ออก เช่น เวลาเดิมด่านมีเวลาเปิดที่ยาว อาจจะปรับสั้นขึ้นตามความเป็นจริงเท่านั้น หรือพิจารณาบางจุดที่ไม่จำเป็น บางจุดที่กระทำผิดกฎหมายบ่อย เช่น ลักลอบนำเข้าสินค้า อาจจะมีการพิจารณาปิดบางจุดที่ไม่จำเป็น แต่ยังคำนึงถึงการดำเนินชีวิตของประชาชน แต่ทั้งนี้ การปิดทุกจุดพรมแดน ถึงแม้ว่าตอนนี้กองทัพบกมีคำสั่งให้หน่วยสามารถดำเนินการได้ แต่อย่างไรก็ตาม มาตรการต่างๆจะต้องมีการประสานกับทุกระดับเหมือนเดิม แต่สำคัญคือ เรื่องความปลอดภัยของประชาชน แต่ด้วยกำลังพลขอทำความเข้าใจกับประชาชนในมุมของความมั่นคง จำเป็นต้องมีการพิจารณา เพราะหนึ่งชีวิตสำคัญมากของกำลังเจ้าหน้าที่ทหาร
อย่างไรก็ตามวันนี้ ด่านอรัญประเทศ จ.สระแก้ว เริ่มปิดด่านเร็วขึ้นในเวลา 16.30 น. นั้น ถือเป็นมาตรการใหม่ พลตรีวินธัย กล่าวย้ำว่า การเปิด-ปิดจุดผ่านแดนเป็นดุลพินิจของหน่วยทหาร หน่วยปกครอง และตำรวจในพื้นที่ ว่าจะดำเนินการอย่างไร.
...