เมื่อเข็มจิรา เจ๊ะบา หรือ “เจด้า” ถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้าในวัยเพียง 12 ปี โลกทั้งใบของเธอก็เงียบลง เสียงของความเข้าใจถูกกลบด้วยเสียงของการตีตราและการเลือกปฏิบัติ ขณะที่เส้นทางการฟื้นตัวของเธอเต็มไปด้วยการเยียวยา การค้นหาตัวเอง และความกล้าหาญที่จะทำตามความฝันของตัวเองอีกครั้ง

วันนี้ในวัย 20 ปี เจด้าใช้เสียงนั้นเพื่อบอกโลกว่า ความเจ็บป่วยทางจิตใจไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่คือสิ่งที่เราทุกคนสามารถเข้าใจและดูแลได้

ปัจจุบันเจด้าเป็นนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และเป็นหนึ่งในเยาวชน 35 คนที่ได้รับคัดเลือกเป็นสมาชิก “คณะกรรมการที่ปรึกษาเยาวชน” ของยูนิเซฟ ประเทศไทย (UNICEF Young People Advisory Board หรือ YPAB) รุ่นปี 2568–2569

โครงการนี้ก่อตั้งขึ้นในปี 2564 เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชนมีส่วนร่วมจริงจังในการกำหนดนโยบายและโครงการต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อชีวิตของพวกเขา สมาชิก YPAB มาจากหลากหลายภูมิหลัง ทั้งจากเขตเมืองและชนบท เด็กไร้สัญชาติ และเยาวชนที่มีความพิการ

“การผลักดันและการขับเคลื่อนสังคมต้องอาศัยพลังความร่วมมือกันในหลายส่วน” เจด้ากล่าว “ซึ่งพอมาเจอเพื่อน ๆ ที่มีความรู้สึกอยากเปลี่ยนแปลงสังคมเหมือน ๆ กัน มันทำให้เรามีความหวังที่จะทำอะไรต่อ”

เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ยูนิเซฟจัดค่าย 3 วันในกรุงเทพฯ เพื่อเสริมทักษะความเป็นผู้นำและการสื่อสารเพื่อการเปลี่ยนแปลงให้กับสมาชิก YPAB รุ่นนี้ ซึ่งมีอายุระหว่าง 14–22 ปี พวกเขาได้รับคัดเลือกจากผู้สมัครกว่า 400 คนทั่วประเทศ

ภายในค่าย สมาชิก YPAB ได้ทำกิจกรรมและร่วมแลกเปลี่ยนในประเด็นสำคัญต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพจิต การคุ้มครองเด็ก การศึกษา การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และบทบาทของเยาวชน พร้อมกับได้เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญ ทีมงานยูนิเซฟ และเพื่อนร่วมอุดมการณ์

สำหรับเจด้า ค่ายนี้ไม่เพียงให้ความรู้เท่านั้น แต่ยังเป็นการเยียวยาจิตใจ

“อย่างหนึ่งที่ได้เรียนรู้ คือ การฝึกมองอะไรได้ลึกซึ้งขึ้น ได้เจอความสวยงามในแบบใหม่ เป็นความสวยงามของบุคคลนั้น ๆ ที่ไม่ใช่แค่จากรูปลักษณ์ภายนอกหรือมารยาท แต่จากเรื่องราวชีวิตประสบการณ์ของพวกเขาที่อาจไม่เคยบอกใคร”

จากกิจกรรมลงพื้นที่ชุมชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เจด้าได้พบว่าความเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคซึมเศร้ายังฝังรากลึก ผู้ใหญ่หลายคนมองว่าซึมเศร้าคือ "โรควิกลจริต"

“เราสัมผัสได้ถึงการตีตราและความไม่เข้าใจเรื่องนี้เลย” เจด้ากล่าว “ถ้าผู้ใหญ่ยังไม่เข้าใจและไม่รู้จักสัญญาณของการเป็นซึมเศร้า แล้วเด็กจะรู้ได้อย่างไรว่าเขากำลังเป็นซึมเศร้าหรือต้องขอความช่วยเหลือตอนไหน”

เจด้าเข้าใจดีถึงความโดดเดี่ยว เพราะเธอเคยผ่านทั้งโรคซึมเศร้าและการถูกกลั่นแกล้ง ช่วงเวลานั้นพรากทั้งเวลาและความสุขในชีวิตไป แต่ด้วยกำลังใจจากครอบครัว การบำบัด และพลังใจของตัวเอง เธอใช้เวลากว่า 4 ปีในการลุกขึ้นใหม่

เพราะไม่อยากให้เด็กคนใดต้องเดินผ่านความมืดนานเช่นนั้น เจด้าและเพื่อน ๆ สมาชิก YPAB จึงตั้งใจผลักดันระบบสนับสนุนด้านสุขภาพจิตในโรงเรียน ที่ทุกฝ่าย - ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน ครู ผู้ปกครอง และผู้นำโรงเรียน จะมีส่วนร่วมในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เข้าใจและช่วยเหลือเด็กๆ ได้

ก่อนหน้านี้ สมัยที่ยังเป็นนักเรียน เจด้าเคยจัดกิจกรรมให้ความรู้เรื่องสุขภาพจิตในโรงเรียนของเธอ และได้ค้นพบว่า...

“เราเจอว่า ทำไมนักเรียนไม่ไปปรึกษาหรือรับบริการเลย ก็เลยไปสืบค้น พบว่า นักเรียนไม่รู้ว่าเขาควรจะไปขอความช่วยเหลือเมื่อไหร่ หลายคนกังวลว่าปัญหาที่มีเล็กเกินกว่าจะไปปรึกษาใครไหม จะเป็นการรบกวนหรือเปล่า... แต่หลังจากเราทำกิจกรรมให้ความรู้ต่อเนื่องเรื่องสุขภาพจิต ให้เข้าใจสัญญาณและความเสี่ยง ก็มีนักเรียนมาขอคำปรึกษามากขึ้น”

ขณะที่เจด้ากำลังสร้างการเปลี่ยนแปลงจากภายในใจเด็ก ๆ พลาธิป พิมพ์สุวรรณ์ หนึ่งในสมาชิก YPAB ก็ขับเคลื่อนเรื่อง “โอกาส” สำหรับเด็กที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

พลาธิปเติบโตในชุมชนชนบทของจังหวัดอุตรดิตถ์ หลังพ่อเสียชีวิต เขาอยู่กับย่า และเกือบต้องหยุดเรียนเพราะไม่มีเงิน

“พอจบม. 3 ก็เครียดว่าจะได้เรียนต่อไหม เพราะเราไม่มีเงินเลย... เพื่อน ๆ ผมส่วนใหญ่หลุดออกจากระบบ”

วันนี้ พลาธิปในวัย 18 ปี ได้รับทุนการศึกษาต่อเนื่อง ได้รางวัลนักศึกษาพระราชทาน และเป็นผู้นำเยาวชนระดับจังหวัด รวมถึงประธานสภาเด็กตำบล การได้เป็นสมาชิก YPAB ของยูนิเซฟคืออีกหนึ่งก้าวสำคัญ

“เด็ก ๆ ในชุมชนของผมเผชิญกับปัญหาหลายอย่าง ทั้งเรื่องการเงิน ทัศนคติ การขาดแรงจูงใจ และอิทธิพลจากเพื่อน... ผมอยากแก้ปัญหาเหล่านี้และสร้างโอกาสให้กับพวกเขา”

ระหว่างการลงพื้นที่ในชุมชนรายได้น้อยของกรุงเทพฯ พลาธิปคิดว่าเขาจะได้เจอเด็กที่หลุดจากระบบการศึกษาจำนวนมาก แต่สิ่งที่เขาพบกลับทำให้แปลกใจ

“ชุมชนเข้มแข็งมาก แม้ฐานะการเงินแต่ละบ้านไม่ดี แต่แทบไม่มีเด็กหลุดออกจากระบบการศึกษาเลย ทุกคนในชุมชนพยายามช่วยกันให้เด็กได้อยู่ในระบบการศึกษา มีวัดเป็นศูนย์กลางที่คอยช่วยหาทุนการศึกษา นี่คือชุมชนต้นแบบเลย”

หลังการลงพื้นที่ สมาชิก YPAB ได้นำเสนอข้อเสนอแนะต่อผู้เชี่ยวชาญระดับประเทศ 13 คน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เปลี่ยนมุมมองของพลาธิป

“สิ่งหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้คือ บางครั้งเด็กอาจมีเหตุผลความจำเป็นในการออกจากโรงเรียน...แทนที่จะบังคับให้เขากลับมา เราอาจจะสร้าง ‘ทางเลือก’ ใหม่ให้กับเขา โดยไม่จำเป็นต้องอยู่ในระบบก็ได้”

ตอนนี้พลาธิปต้องการผลักดันแนวคิดว่า การเรียนรู้นอกห้องเรียนก็มีคุณค่าไม่แพ้กัน โดยเฉพาะสำหรับเด็กที่ไม่มีโอกาสเรียนเต็มเวลา

“ถ้าเราปรับมุมมองสังคมตรงนี้ได้ มันจะเปิดประตูให้เด็กอีกมากมายที่เขาอาจไม่มีเงินที่จะอยู่ในระบบ แต่เลือกเรียนด้วยตัวเอง... เพราะทุกวันนี้ ความรู้มีอยู่ทุกที่ ไม่จำกัดอยู่แค่ในห้องเรียน”

สำหรับทั้งเจด้าและพลาธิป การเป็นสมาชิก YPAB ของยูนิเซฟไม่ใช่แค่ “โอกาส” แต่มันคือ “ภารกิจ”

“หนูอยากเป็นตัวแทน เป็นเสียง และเป็นแรงบันดาลใจให้กับเด็กและเยาวชนที่ป่วยเป็นซึมเศร้า เพราะมีเด็กหลายคนไม่กล้าพูดออกมา...การขอความช่วยเหลือไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่คือจุดเริ่มต้นของชีวิตที่ดีขึ้น”

พลอยนภัส เจริญคชฤทธิ์ เจ้าหน้าที่พัฒนาเยาวชนและการมีส่วนร่วม องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย กล่าวว่า แนวคิดของการมองเยาวชนเป็น “พันธมิตร” ไม่ใช่แค่ “ผู้เข้าร่วม” คือหัวใจของการทำงานของยูนิเซฟ

“เยาวชนคือคนที่เข้าใจปัญหาของตัวเองดีที่สุด การทำงานของเราจะครอบคลุมและตอบโจทย์เยาวชน ก็ต่อเมื่อพวกเขาได้มีส่วนร่วมอย่างแท้จริง” พลอยนภัส กล่าว

ปัจจุบันยูนิเซฟกำลังร่วมมือกับภาคีหลากหลายภาคส่วนเพื่อสร้างพื้นที่ปลอดภัย สนับสนุนความคิดของเด็กและเยาวชน ผลักดันให้เสียงของพวกเขามีผลต่อการตัดสินใจระดับนโยบาย พร้อมทั้งส่งเสริมให้ผู้ใหญ่เปิดใจรับฟัง

“เพราะการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้ใหญ่เปิดใจยอมรับ” พลอยนภัสกล่าว

ผศ. นพ. พนม เกตุมาน จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญที่ร่วมกิจกรรมค่ายฯ กล่าวเสริมว่า

“เป็นเรื่องดีที่เยาวชนจะมีส่วนร่วมในการดูแลเรื่องสุขภาพจิตมากขึ้น โดยเฉพาะในโรงเรียนและชุมชน... เริ่มมีบางแห่งที่เยาวชนเข้ามามีส่วนร่วมแล้วก็ทำได้ดีด้วย โดยมีครูและระบบของโรงเรียนคอยสนับสนุน เกิดการขยายต่อและเกิดการเรียนรู้ ...และในอนาคตน่าจะมีการขยายตัวของการทำงานโดยเยาวชนมีส่วนร่วมมากขึ้น”

ที่ผ่านมา สมาชิก YPAB รุ่นก่อนก็ได้มีบทบาทสำคัญร่วมกับยูนิเซฟ ในการรณรงค์เรื่องสิทธิเด็ก ความปลอดภัยออนไลน์ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการเสนอแนวทางปฏิรูปการศึกษา ขณะที่ YPAB รุ่นใหม่นี้ก็กำลังเริ่มต้นการเดินทาง 2 ปีแห่งการสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่

“ผมจะเริ่มจากการสร้างเครือข่ายพ่อแม่และเด็กในชุมชนของผม และช่วยให้พวกเขาเข้าถึงทุนการศึกษาและโอกาสเหมือนที่ผมได้รับมา” พลาธิปกล่าว

สำหรับเจด้า เธอสรุปภารกิจไว้อย่างชัดเจนว่า “หนูอยากสร้างโลกที่ทุกคนรู้สึกปลอดภัยที่จะเป็นตัวเอง”