ตั้งแต่วันที่ 10 พ.ค.เป็นต้นไป ผู้ใช้ไฟฟ้าที่เป็นลูกค้าของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) จะทยอยได้รับบิลเรียกเก็บค่าไฟฟ้างวดใหม่ระหว่างเดือน พ.ค.-ส.ค.นี้ ในอัตราหน่วยละ 3.98 บาท ที่เป็นอัตราที่ต่ำกว่ากรอบเป้าหมายของรัฐบาลที่กำหนดไว้เดิมที่ 3.99 บาทต่อหน่วย และเป็นอัตราที่ลดต่ำลงจากที่ก่อนหน้านี้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) กำหนดไว้ที่ 4.15 บาทต่อหน่วย

ปมเหตุที่สามารถปรับลดลงได้ มาจากการนำเงินเรียกคืน ผลประโยชน์ส่วนเกิน (claw back) หรือเงินค่าเรียกเก็บผลประโยชน์ส่วนเกินที่ประมาณการลงทุน แต่เบิกจ่ายไม่เต็มวงเงิน ที่ได้รับการอนุมัติของ กฟน., กฟภ., การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศ ไทย (กฟผ.) ลดลงกว่าคาดการณ์ วงเงิน 12,200 ล้านบาท หรือคิดเป็น 17 สตางค์ต่อหน่วย

สำหรับค่าไฟฟ้างวดสุดท้ายของปีนี้ (ก.ย.–ธ.ค.) กกพ.  ระบุว่า ต้องรอดูต้นทุนเชื้อเพลิง และภาวะเศรษฐกิจอีกครั้ง รวมถึงการพิจารณาใช้ claw back ที่ยังมีเหลือติดหีบสมบัติ อีก 7,800 ล้านบาท

ขณะเดียวกันลองมาฟังอีกมุมมองของ นายวีระพล จิรประดิษฐกุล นักวิชาการอิสระด้านพลังงาน และอดีต ผู้อำนวยการ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) โดยเฉพาะประเด็นค่าไฟฟ้าของประเทศไทยที่แพงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ เวียดนามอยู่ที่ 2.70 บาทต่อหน่วย อินโดนีเซีย 3 บาทต่อหน่วย

...

โดยเฉพาะ การวิจารณ์เกี่ยวกับโครงการรับซื้อไฟฟ้า พลังงานหมุนเวียน ของ กกพ.จำนวน 5,200 เมกะวัตต์ และ 3,600 เมกะวัตต์ (RE Big Lot) ที่ถูกมองว่า เป็นการซ้ำเติมปัญหาค่าไฟแพง จากปริมาณสำรองไฟฟ้าล้นระบบ ซึ่งนายวีระพลระบุว่า เป็นการสร้างความสับสนให้ประชาชน เพราะข้อมูลยังมีความคลาดเคลื่อนในหลายประเด็น

“การที่ กกพ. และกระทรวงพลังงาน กำลังตกเป็นเป้าหมายในการโจมตีและวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับความโปร่งใส ความเหมาะสมของวิธีการรับซื้อไฟฟ้าในโครงการ RE Big Lot ทำให้ประชาชนสับสนในข้อมูล และอยากให้รับฟังข้อมูลอย่างรอบด้าน”

ทั้งนี้ เนื่องจากไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนไม่สามารถพึ่งพาได้ทั้งหมด จึงไม่มีการกำหนดเงื่อนไข บังคับให้รัฐบาลต้องจ่ายค่าพร้อมจ่าย (เอพี) เหมือนโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงฟอสซิลในระบบ และไม่สามารถนำไปคำนวณเป็นปริมาณไฟฟ้าสำรองได้ทั้งจำนวนเช่นกัน

ที่สำคัญมาตรฐานสากลกำหนดสัดส่วนการพึ่งพาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน โดยไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์พึ่งพาได้น้อยสุดเพียง 20% ของกำลังผลิตติดตั้ง ตามมาด้วยพลังงานลม 30% ไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพ 70% ตามลำดับ

“ข้อวิจารณ์เกณฑ์รับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน โดยกำหนดราคาเป้าหมายคงที่ 2.20–3.10 บาท/หน่วย เป็นระยะ 25 ปี จะทำให้ ค่าไฟแพงต่อเนื่องระยะยาว ในด้านหนึ่งก็อาจมองได้เช่นกัน เพราะตามหลักค่าไฟจะเปลี่ยนแปลงทุกๆ 2 ปี แต่ก็ต้องมองในมุม ของ กกพ.ที่ทำงานภายใต้สถานการณ์ที่ต่างออกไป เพราะ กกพ. ต้องจัดหาไฟฟ้าสะอาดให้ทันใช้ และเพียงพอต่อความต้องการแต่ละช่วงเวลา”

ในอดีต กกพ.ก็เคยเลือกใช้วิธีการประมูลให้แข่งขันเสนอราคาขายไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ปรากฏว่ามีผู้สนใจเข้าร่วมประมูล เป็นจำนวนมาก แต่ภายหลังครึ่งหนึ่งของผู้เข้าร่วมประมูลก็ทิ้งสัญญาเพราะไม่สามารถผลิตได้

สำหรับกรณีของค่าไฟฟ้าสีเขียว (UGT) ที่ผลิตจากพลังงานสะอาด ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อค่าไฟของประชาชน เพราะ กกพ.กำหนดให้แยกโครงสร้างราคาค่าไฟฟ้า UGT ออกจากโครงสร้างค่าไฟปกติ และให้ผู้ที่ต้องการซื้อไฟฟ้าสีเขียวต้องรับภาระค่าใช้จ่าย และต้นทุนที่เพิ่มขึ้นด้วย การคิดค่าพรีเมียมเพิ่มเติม ฐานค่าไฟเฉลี่ยปกติที่เรียกเก็บจากประชาชนทั่วไป

“ความสับสนเกี่ยวกับปริมาณสำรองไฟฟ้า ผมเห็นว่า กกพ.ต้องเป็นหน่วยงานหลักในการกำหนดนิยามและประกาศปริมาณ สำรองไฟฟ้าเพียงหน่วยงานเดียว เพื่อไม่ให้สับสน ล่าสุดไฟฟ้าสำรองมีปริมาณ 37-38% เท่านั้น ของกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งระบบ”

...

สาเหตุที่ปริมาณสำรองไฟฟ้าที่สูง เกิดจากภาวะเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำกว่าการคาดการณ์ จากวิกฤติเศรษฐกิจทั้งในและภายนอกประเทศ เมื่อเศรษฐกิจขยายตัวต่ำ ความต้องการไฟฟ้าก็ต้องลดลงตามไปด้วย

“การที่จะทบทวนเงื่อนไขสัญญาซื้อไฟจากเอกชน นายวีระพลได้ระบุว่า แก้ไขสัญญาสามารถทำได้ด้วยการเจรจาเป็นรายๆไป เพื่อยืดระยะเวลาออกไป แต่สุดท้ายแล้วเอกชนยังต้องได้รับผลประโยชน์ครบถ้วนตามสัญญา ต้องดูว่าได้คุ้มเสียหรือไม่”

เขาย้ำทิ้งท้ายว่า เรื่องการประกาศค่าไฟฟ้าเป็นหน้าที่ของ กกพ. แต่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องควรทำความเข้าใจระหว่างกัน มีการนำเสนอข้อมูลข้อเท็จจริง และหารือกันรอบด้าน ก่อนประกาศค่าไฟฟ้าอย่างเป็นทางการ เพื่อให้มีความเป็นเอกภาพ ไม่สร้างความสับสนให้ประชาชน!!!!!

เกรียงไกร พันธุ์เพ็ชร

คลิกอ่านคอลัมน์ “The Issue” เพิ่มเติม