เปิดวินาที "หนุ่มหัวร้อน" อ้างไม่พอใจถูกขับปาดหน้า ใช้เท้าถีบรถจักรยานยนต์ล้ม คนเจ็บซี่โครงหัก 3 ซี่ พร้อมยืนยันเอาเรื่องให้ถึงที่สุด

จากกรณี ผู้ใช้เฟซบุ๊ก วันวิสาข์ เชาวน์ประยูร ได้โพสต์คลิปวิดีโอ พร้อมระบุข้อความว่า "ช่วยกันตามหาคนขี่จักรยานยนต์ที่มาถีบรถฯ พี่ที่ทำงานจนรถล้ม วันที่ 17/4/68 เวลาประมาณ 12.29 น. สถานที่เกิดเหตุ ก่อนถึงราชภัฏเชียงใหม่" ทั้งนี้ หลังคลิปถูกเผยแพร่ออกไปก็มีคนเข้ามาคอมเมนต์แสดงความคิดเห็นกันเป็นจำนวนมาก

ล่าสุด เมื่อเวลา 18.00 น. วันที่ 17 เม.ย. 2568 นายศุภกร ศรีอินต๊ะ อายุ 48 ปี พนักงานสวนสัตว์เชียงใหม่ ผู้ได้รับบาดเจ็บจากในคลิปดังกล่าว เล่าว่า ก่อนเกิดเหตุตนได้ขี่รถจักรยานยนต์ออกมาจากย่านเจ็ดยอด มีคู่กรณีขี่รถจักรยานยนต์ตามมาให้ตนจอดแล้วบอกว่า ตนขี่รถตัดหน้าเขา ซึ่งตนไม่ทราบว่าไปตัดหน้าตอนไหน เลยบอกว่า 'ไม่ทราบว่าไปตัดหน้าตอนไหน ถ้าขี่รถตัดหน้าจริงก็ขอโทษแล้วกันไม่อยากมีเรื่อง ถ้าพี่ทำตนไปตนก็เจ็บตัวเฉยๆ มันไม่ได้มีประโยชน์อะไร ตนขอโทษแล้วกัน'

ซึ่งทางคู่กรณีก็โมโหด่าไม่ยอมจบ ตนเลยบอกขอโทษแล้วขี่รถออกมา จุดแรกก็ขี่รถออกมาตามปกติ หลังจากนั้นคู่กรณีก็ขับรถมาดักรอตรงจุดที่สองคือแยกข่วงสิงห์ แล้วตะโกนด่าตนอีก ซึ่งตนก็บอกไปว่า 'ไม่ต้องการมีเรื่อง' ก็ขอโทษไปอีกรอบ ซึ่งชายคู่กรณีคนดังกล่าวบอกว่า 'ไม่รับคำขอโทษ' ตนก็พูดคำเดิมไม่ต้องการมีเรื่องแล้วขอโทษอีกครั้ง ตนเองก็ขี่รถจากแยกข่วงสิงห์แล้วไปทางถนนโชตนาทางไปราชภัฏเชียงใหม่ ขี่รถไปได้ประมาณ 150 เมตร รู้ตัวอีกทีก็ถูกถีบแฉลบลงไปข้างทางไถลลงไป 20 เมตร จนหมวกกันน็อกหลุดออกจากหัว

...

ขณะนั้น มีพลเมืองดีที่ขับรถตามมาลงมาช่วยและมอบวิดีโอจากกล้องหน้ารถให้ ตนจึงนำมาแจ้งความ ซึ่งตอนนั้นรู้สึกมึนมาก แต่ก็ได้โทรแจ้งตำรวจก่อนจะขี่รถจักรยานยนต์จากที่เกิดเหตุมายังโรงพยาบาลประมาณ 1 กิโลเมตรเพื่อมาหาหมอ เพราะรู้สึกมึนและปวดหลัง

หลังเกิดเหตุก็ได้โทรแจ้งหัวหน้างานและผู้อำนวยการสวนสัตว์ ก่อนที่หัวหน้างานจะเข้าแจ้งความที่ สภ.ช้างเผือก ให้เร่งติดตามชายคู่กรณีที่ถีบตนเองมาดำเนินคดี โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นตนเองรู้สึกตกใจมาก ไม่คิดว่าจะมาเกิดกับตนเพราะเมื่อเช้าเพิ่งเห็นข่าวคนขับรถหัวร้อนพึ่งออกไป แต่ก็มาเจอกับตนเอง

ดังนั้นในฐานะผู้ใช้รถผู้ใช้ถนน ขอให้คนเราขับรถมีน้ำใจกันหน่อย อย่าหัวร้อนเพราะเกิดเรื่องขึ้นมามันไม่คุ้มกัน ยังมีคนข้างหลังที่เราต้องดูแลอีก โชคดีที่ตนเองไม่เป็นอะไรมาก ไม่อยากคิดถ้าตอนนั้นมีรถยนต์วิ่งมาไว ตนคงจะถูกรถทับอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม สำหรับคู่กรณีที่ก่อเหตุกับตนเองนั้น ยืนยันจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุดเพราะไม่ต้องการให้ไปก่อเหตุแบบนี้กับใครอีก.