18 มีนาคม 2568 สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา และศูนย์สันติวิธีชายแดนใต้ และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้ออกแถลงการณ์ ถึงกรณีเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่ชายแดนใต้ช่วงเดือนรอมฎอน ปี 2568
โดยในแถลงการณ์ของสถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา และศูนย์สันติวิธีชายแดนใต้ ได้ระบุถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้นหลังจากวันที่ 2 มีนาคม ซึ่งเป็นวันแรกของการถือศีลอดจนถึงปัจจุบัน ได้ส่งผลกระทบต่อชีวิต ความปลอดภัย และความเป็นอยู่ของประชาชน
แถลงการณ์เรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงรัฐบาลไทย หรือฝ่ายขบวนการแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติ (บีอาร์เอ็น) หลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ และเคารพหลักการสิทธิในการมีสันติภาพ (Rights to Peace) ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของพลเมืองในการมีชีวิตที่ปราศจากความหวาดกลัวและภัยคุกคาม ทั้งนี้เพื่อให้พลเรือนทั้งมลายูมุสลิมและไทยพุทธสามารถปฏิบัติศาสนกิจ และดำเนินชีวิตได้อย่างปลอดภัย ในช่วงเดือนรอมฎอน ซึ่งเป็นเดือนแห่งความเมตตา การให้อภัย และการแสวงหาสันติ
ตอนหนึ่งของแถลงการณ์ ระบุว่า ช่วงโควิด-19 บีอาร์เอ็น (BRN) เคยประกาศหยุดยิงฝ่ายเดียว(ถ้าไม่ถูกโจมตีก่อน) เราจึงขอให้ประกาศท่านประกาศอีกครั้งในช่วงการถือศีลอดครั้งนี้ ส่วนฝ่ายความมั่นคงก็ควรประกาศเลิกใช้ความรุนแรงเชิงรุก เพื่อให้ฝ่ายที่มีกำลังอาวุธทั้งสองฝ่ายได้แสดงเจตนาที่จะช่วยกันเคารพวิถีวัฒนธรรมของผู้คนส่วนใหญ่ในพื้นที่ แต่จะเป็นการดีอย่างยิ่งที่ทั้งสองฝ่ายจะประกาศเจตนาอย่างมุ่งมั่นว่าจะไม่ใช้ความรุนแรงต่อกลุ่มผู้ประชาชนทุกกลุ่มที่ไม่ถืออาวุธไม่ว่าจะในเทศกาลใด ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเทศกาลที่สำคัญทางศาสนาและความเชื่อของทุกกลุ่มในพื้นที่
...
นอกจากนี้ ในแถลงการณ์ยังเน้นย้ำให้รัฐบาลแสดงเจตจำนงทางการเมืองที่จริงจัง ในการเดินหน้ากระบวนการพูดคุยสันติภาพ โดยเปิดพื้นที่ให้ประชาชนและทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม เคารพกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ หยุดปฏิบัติการที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนและพิจารณาแนวทางที่นำไปสู่การเจรจาหาทางออกจากความขัดแย้งรุนแรงด้วยการไม่ใช้ความรุนแรง
ในวันเดียวกัน คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้ระบุในแถลงการณ์ ประนามการก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยระบุว่า ตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคม 2568 เป็นต้นมา พื้นที่ชายแดนใต้เกิดเหคุความรุนแรงหลายครั้ง เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่อาสา รวมทั้งประชาชนหลายรายซึ่งรวมถึงเด็กและผู้หญิงได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ทรัพย์สินส่วนบุคคล อาคารราชการและเส้นทางสัญจรสาธารณะได้รับความเสียหาย เช่น
- เหตุวางระเบิดคาร์บอมบ์ พร้อมใช้อาวุธปืนสงครามยิงถล่มที่ว่าการอำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส
- เหตุลอบยิงเจ้าหน้าที่ทหารพรานในพื้นที่อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี เหตุซุ่มยิงเจ้าหน้าที่ทหารในพื้นที่อำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา
- เหตุลอบวางระเบิดเจ้าหน้าที่ชุดรักษาความปลอดภัยครูในพื้นที่อำเภอแม่ลาน จังหวัดปัตตานี
- เหตุลอบวางระเบิดเจ้าหน้าที่ทหารพรานนาวิกโยธินในพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี
- ล่าสุดเหตุลอบวางระเบิดรถยนต์ของเจ้าหน้าที่อาสารักษาดินแดน (อส.) หญิงในพื้นที่อำเภอกะพ้อ จังหวัดปัตตานี
“คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ขอประณามการกระทำอันโหดร้ายของผู้ก่อเหตุซึ่งมุ่งหมายให้เจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชนได้รับอันตรายต่อชีวิตและร่างกาย ตลอดจนมุ่งสร้างความเสียหายแก่ทรัพย์สินราชการและสาธารณะ และขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งไปยังครอบครัวและญาติมิตรของเจ้าหน้าที่ผู้เสียชีวิต ผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมทั้งประชาชนที่ได้รับผลกระทบ”
กสม. ได้ย้ำถึงข้อเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งดำเนินนโยบายสร้างสันติสุขอย่างมีประสิทธิผลในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ และให้ทุกฝ่ายเคารพหลักสิทธิมนุษยชนเพื่อร่วมกันสร้างสันติสุขในพื้นที่