ปัญหาบุหรี่เถื่อน หรือบุหรี่หนีภาษี ยังคงเป็นปัญหาจนถึงทุกวันนี้...และยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงๆจังๆจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ขณะที่จำนวนสิงห์อมควันนักสูบทั่วประเทศ 10 ล้านคน และที่น่าเป็นห่วงคืออายุของผู้สูบบุหรี่น้อยลงเรื่อยๆ
ล่าสุดพบว่า เด็กระดับประถมอายุเพียง 10 ขวบ สูบบุหรี่ เมื่อสอบถามเด็กที่สูบ ได้รับคำตอบว่า เพื่อนชวน และอยากลองสูบด้วยว่าเป็นอย่างไร
ทั้งนี้ ปัจจุบันจำนวนบุหรี่เถื่อน ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และได้เข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดบุหรี่ถูกกฎหมาย จากปี 2565 อยู่ที่ระดับ 15% ต่อมาปี 2567 มาอยู่ที่ระดับ 25% ของมูลค่าตลาดยาสูบไทย
สาเหตุหลักของบุหรี่เถื่อนมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นมาจากบุหรี่ถูกกฎหมายราคาแพงมาก ทำให้สิงห์อมควันย่อมที่จะเสาะหาซื้อบุหรี่ราคาถูกมาบริโภค โดยไม่ได้สนใจว่ามีคุณภาพมาตรฐานหรือไม่ เพราะนอกจากราคาถูกแล้วยังหาซื้อได้ง่าย ทั้งตามร้านขายของชำทั่วไป และสั่งซื้อออนไลน์ สะดวกรวดเร็ว
ถึงแม้ทางการจะปราบปรามจับกุมบุหรี่เถื่อน แต่ก็ไม่สามารถขจัดปัญหาบุหรี่เถื่อนออกไปได้ นับวันยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
โดยเฉพาะบุหรี่ไฟฟ้า ที่จำนวนผู้สูบเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และวางจำหน่ายขายมีให้เห็นเป็นการทั่วไป และยังขายผ่านออนไลน์ สะดวกรวดเร็ว ส่งตรงถึงที่ ไม่ต้องเดินทางไปหาซื้อถึงแหล่ง
จากตัวเลขการจับกุมของกรมศุลกากรพบว่า ในช่วง 4 เดือนปีงบประมาณ 68 (ต.ค. 67-ม.ค.68) จับกุมบุหรี่ต่างประเทศได้ 667 คดี ปริมาณ 17.39 ล้านมวน มูลค่า 90.32 ล้านบาท ส่วนบุหรี่ไฟฟ้าได้ 234 คดี มูลค่า 28.95 ล้านบาท
ขณะที่สถิติการปราบปรามผู้กระทำความผิดกฎหมายสรรพสามิต สินค้ายาสูบทั่วประเทศ โดยปีงบประมาณ 2565 จำนวนคดี 9,398 ราย ค่าปรับ 248 ล้านบาท ปี 2566 จำนวนคดี 8,489 ราย ค่าปรับ 231 ล้านบาท ปี 2567 จำนวนคดี 13,171 ราย ค่าปรับ 364 ล้าน ส่วนปี 2568 (ต.ค.67-ม.ค.68) จำนวนคดี 4,931 ราย ค่าปรับ 141 ล้านบาท
...
ทั้งนี้ นับตั้งแต่กระทรวงการคลังปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่ เป็นแบบ 2 เทียร์ และมีผลต่อการปรับขึ้นภาษีบุหรี่เมื่อวันที่ 1 ต.ค.64 เป็นต้นมา ทำให้ราคาจำหน่ายบุหรี่ถูกกฎหมายราคาแพง ขณะที่การจัดเก็บรายได้ภาษีบุหรี่ลดลงอย่างต่อเนื่อง
โดยปีงบประมาณ 2564 กรมสรรพสามิตจัดเก็บรายได้ภาษีบุหรี่ 64,200 ล้านบาท ปี 2565 จัดเก็บรายได้ 59,789 ล้านบาท ปี 2566 จัดเก็บรายได้ 57,682 ล้านบาท ปี 2567 จัดเก็บรายได้ 51,247 ล้านบาท และคาดว่าปี 2568 รายได้จะต่ำกว่า 50,000 ล้านบาทอย่างแน่นอน เพราะเพียง 3 เดือนแรกของปีงบประมาณ 68 จัดเก็บได้ 9,517 ล้านบาท ลดลง 24.34% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนจัดเก็บได้ 12,578 ล้านบาท
และผลของการปรับขึ้นภาษีบุหรี่นั้น ได้ส่งผลต่อการดำเนินงานของการยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) อย่างมาก จากหน่วยงานที่เคยกำไรอู้ฟู่ กลายเป็นหน่วยงานที่มีกำไรลดฮวบ จากปี 2564 มีรายได้เกือบ 20,000 ล้านบาท กำไร 1,000 ล้านบาท หลังจากนั้นรายได้และกำไรทยอยลดลงอย่างต่อเนื่อง จนปี 2566 มีรายได้ 14,028 ล้านบาท กำไร 221 ล้านบาท
ส่วนปี 2567 มีรายได้และกำไรมาแตะ 700 ล้านบาท เป็นผลจากการพลิกวิกฤติเป็นโอกาสด้วยการเปิดรับซื้อใบยาสูบจากเกษตรกรแบบไม่อั้นแล้วส่งออกไปต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันราคาใบยาสูบปรับขึ้นราคาแบบเท่าตัว เนื่องจากตลาดโลกขาดแคลนใบยาสูบ และการส่งบุหรี่ไทยออกไปจำหน่ายตลาดต่างประเทศ มุ่งเจาะกลุ่มคนไทย ที่ไปทำงานต่างประเทศ
การพลิกผันตัวเองจากจำหน่ายบุหรี่ในประเทศ มาเป็นผู้ส่งออกนั้น นอกจากเพิ่มรายได้ให้ ยสท.เองแล้ว ยังช่วยเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรผู้ปลูกใบยาสูบด้วย จากอดีตใบยาสูบพันธุ์เบอร์เลย์ กิโลกรัมละ 40-50 บาท ปัจจุบันราคากิโลกรัมละ 78 บาท ถือเป็นปีทองของชาวไร่ยาสูบ ที่ยังไม่ผันตัวเองไปปลูกพืชอื่น
ทั้งนี้ ไม่เพียงรายได้ของ ยสท.ที่ลดลงเท่านั้น บริษัทบุหรี่ต่างประเทศ ที่นำบุหรี่นอกมาจำหน่ายในประเทศไทย รายได้ก็ลดลงเช่นกัน เพราะยอดบุหรี่หนีภาษีเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่จำนวนสิงห์อมควันไม่ได้ลดน้อยลงแต่อย่างใด
ขณะที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการรณรงค์ไม่สูบบุหรี่ ต่างทำหน้าที่อย่างเข้มข้นต่อเนื่อง เพื่อลดการสูบบุหรี่ของเยาวชนไทยและคนไทยลง
อย่างไรก็ตาม การพิจารณาเรื่องโครงสร้างภาษีบุหรี่นั้น เป็นหน้าที่ของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ต้องศึกษาพิจารณาด้วยความรอบคอบ สร้างสมดุลใน 4 ด้าน คือ 1.รายได้เกษตรกร 2.สุขภาพของประชาชน 3.บุหรี่เถื่อน 4.การจัดเก็บรายได้รัฐ
และการสร้างสมดุลทั้ง 4 ด้านจะทำได้อย่างไร ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่ามีนโยบายแก้ปัญหาบุหรี่เถื่อนเกลื่อนเมือง...แบบใดต้องรอลุ้นกันต่อไป!!
ดวงพร อุดมทิพย์
คลิกอ่านคอลัมน์ “The Issue” เพิ่มเติม
...