อย่างที่ทราบกันดีว่า รอบๆ ชายแดนไทย-เมียนมา คือที่ตั้งของเมืองสแกมเมอร์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ และแหล่งอาชญากรรมข้ามชาติหลายประเภท ที่คอยล่อลวงคนไทยและคนต่างชาติให้เข้ามาอยู่ในวงจรค้ามนุษย์ และใช้กลยุทธ์ออนไลน์มากมายหลอกเงินในกระเป๋าของเรา จนหลายคนแทบสิ้นเนื้อประดาตัวสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่า ตั้งแต่ มี.ค. 2565 - มิ.ย. 2567 มีคนไทยตกเป็นเหยื่อแล้ว 5.7 แสนคดี เสียหายรวม 6.5 หมื่นล้านบาท หรือเฉลี่ยวันละ 80 ล้านบาท แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ว่าเมืองสแกมเมอร์เหล่านี้ดำรงอยู่ได้ เพราะอาศัยทรัพยากรจากไทยคอยหล่อเลี้ยง ทั้งไฟฟ้า เครือข่ายโทรคมนาคม น้ำประปา และรวมถึงวัสดุก่อสร้างและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ มากมายพูดง่ายๆ ว่า หากเมืองสแกมเมอร์เหล่านี้ไม่มีไฟฟ้า และทรัพยากรต่างๆ จากไทย ก็จะไม่สามารถดำเนินกิจกรรมหลอกลวงออนไลน์ได้ ไม่ต่างอะไรกับเมืองอัมพาตคำถามคือ สรุปแล้วไทยมีอำนาจตัดไฟหรือไม่ ทำไมต้องโยนกันไปกันมา แล้วใครคือผ้มีอำนาจสั่งการกันแน่! ‘เศรษฐา’ เคยสั่งการ ตัดน้ำ-ไฟ เมืองสแกมเมอร์ มีหลักฐานยืนยันว่า เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เคยมีข้อสั่งการเรื่อง ‘การปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี’ ถึง 2 ครั้ง ได้แก่2 เม.ย. 2567 (ครั้งแรก) มีเนื้อหาว่า คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ ตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สืบเนื่องจากการตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการปฏิบัติหน้าที่ให้กับกองบัญชาการตำรวจสืบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2567 เกี่ยวกับการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชน เช่น ปัญหาการพนันออนไลน์ ปัญหาการหลอกลวงผ่านคอลเซ็นเตอร์ และปัญหาข่าวปลอม (Fake News) ซึ่งปัจจุบันเทคโนโลยีมีความก้าวหน้ามากขึ้นทำให้ปัญหาดังกล่าวสร้างความเดือดร้อนเสียหายแก่เศรษฐกิจและสังคมไทยอย่างกว้างขวาง ต่อเนื่อง และหลากหลายรูปแบบ จึงขอกำชับให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยเฉพาะกองบัญชาการตำรวจสืบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเร่งบูรณาการการปฏิบัติงานตามหน้าที่และอำนาจร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้นอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ให้เกิดผลงานที่เป็นรูปธรรมภายใน 30 วัน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อประชาชนในการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจที่เป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ รวมถึงการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมที่เกี่ยวข้องด้วยครั้งที่สอง คือมติ ครม. เมื่อวันที่ 14 พ.ย. 2567 กำชับให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยเฉพาะกองบัญชาการตำรวจสืบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเร่งบูรณาการการปฏิบัติงานตามหน้าที่และอำนาจร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชน เช่น การพนันออนไลน์ การหลอกลวงผ่านคอลเซ็นเตอร์ นั้น เนื่องจากผู้ก่อปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยีดังกล่าว รวมถึงปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติและอาชญากรรมจากการผลิตและลักลอบค้ายาเสพติด ส่วนหนึ่งมักตั้งฐานอยู่บริเวณชายแดนและใช้ทรัพยากรของไทย ทั้งไฟฟ้า น้ำประปา และการสื่อสารในการกระทำความผิด และได้ขอให้กระทรวงมหาดไทยและ กฟภ. รีบประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงกระทรวงดิจิทัลฯ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เพื่อระงับการให้บริการด้านสาธารณูปโภคข้ามพรมแดน แต่จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ข้อสั่งการดังกล่าวก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า แถมดูเหมือนตอนนี้ประเทศจีนเองก็กำลังเคลื่อนไหว โดยส่งผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงความมั่นคงมาตามจี้ทางการไทยให้รีบแก้ปัญหา ขณะที่หน่วยงานไทยก็เริ่มเมามัด โยนความรับผิดชอบกันไปโยนกันมาจนคนดูเริ่มสับสนว่า สรุปแล้วเราไม่มีอำนาจตัดไฟ หรือภายในรัฐบาลกำลังเล่นเกมการเมืองอะไรกันแน่?ไทย-เมียนมาร์ สัญญาซื้อไฟผ่านนอมินี? ก่อนอื่นต้องอธิบายก่อนว่า ประเทศไทยรับซื้อและขายไฟให้ประเทศเพื่อนบ้านเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่กรณีชายแดนเมียนมา ลักษณะการซื้อขายจะไม่เหมือนประเทศอื่นๆ เนื่องจากความวุ่นวายภายในประเทศเมียนมาและลักษณะการปกครองแบบรัฐซ้อนรัฐ รูปแบบการซื้อขายจึงไม่ใช่คู่สัญญาแบบรัฐต่อรัฐเหมือนประเทศอื่นๆ โดยเรื่องนี้ ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี อาจารย์คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้โพสต์อธิบายไว้ว่า เมื่อรัฐบาลกลางเมียนมาไม่สามารถเข้ามาปกครองในพื้นที่ชนกลุ่มน้อยอย่างรัฐกะเหรี่ยงได้ ทำให้การขายไฟบริเวณนี้ คือการทำสัญญาผ่านตัวแทน นั่นคือ บริษัทของกะเหรี่ยง BGF ไปขอสัมปทานจากรัฐบาลกลางเมียนมาร์มา แล้วจากนั้นก็เอามาเซ้งที่และขาย license ให้กับนอมินีฝั่งไทย กลุ่มนอมินีไทย เป็นฝ่ายที่เข้าไปลงทุนในพื้ินที่ BGF สร้างระบบไฟฟ้า บริหารจัดการเรื่องไฟในเมืองสแกมเมอร์ทั้งหมด เช่นติดตั้งเสา และอุปกรณ์สำหรับจ่ายไฟ ดูแลเมื่อระบบไฟมีปัญหา ฯลฯ ตลอดจนตามเก็บค่าไฟแล้วนำมาส่งให้กับกฟภ.อาจารย์ปิ่นแก้วยังระบุว่า การขายไฟในระบบแบบนี้ รัฐบาลกลางพม่าได้ค่าสัมปทาน บริษัทของ BGF ได้ค่าเซ้งที่ บริษัทนอมินีไทยค้ากำไรจากการชาร์จค่าไฟที่สูงลิ่วจากพวกอาชญากรจีน ส่วนกฟภ.นั้น เป็นเสือนอนกิน ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น รอรับค่าไฟจำนวนมหาศาลในแต่ละเดือน ‘กฟภ.’ ตั้งโต๊ะแถลง ยันตัดไฟได้หากความมั่นคงสั่งการ ด้าน กฟภ. เองก็ได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าว เมื่อวันที่ 29 ม.ค. 2568 ที่ผ่านมา โดยชี้แจงว่า ปัจจุบันจ่ายกระแสไฟฟ้าให้สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา จำนวน 5 จุด คือ1. บ้านเจดีย์สามองค์ เมืองพญาตองซู รัฐมอญ2. บ้านเหมืองแดง เมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน3. สะพานมิตรภาพไทย-พม่า เมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน4. สะพานมิตรภาพไทย-พม่า แห่งที่ 2 อ.เมียวดี รัฐกะเหรี่ยง5. บ้านห้วยม่วง อ.เมียวดี รัฐกะเหรี่ยง โดย ประสิทธิ์ จันทร์ประสิทธิ์ รองผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ระบุว่า กฟภ. ดำเนินการทุกอย่างถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย และพร้อมจะงดจ่ายไฟฟ้าในพื้นที่แนวตะเข็บชายแดน หากพบกระทำความผิดจริง แต่ต้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ตรวจสอบแต่ว่าไฟฟ้าที่ขายให้เมียนมาอาจถูกนำไปใช้ในกิจกรรมผิดกฎหมายหรือสนับสนุนกลุ่มที่อาจเป็นภัยต่อไทย ซึ่ง กฟภ. ไม่มีอำนาจตรวจสอบโดยตรง และต้องอาศัยข้อมูลจากหน่วยงานด้านความมั่นคงพูดง่ายๆ ว่า การที่ไทยจะตัดไฟได้ ต้องเข้าข่าย 2 เหตุผล คือ หนึ่ง กรณีไม่ชำระค่าไฟตามกำหนด และสอง คือ ‘กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ’ ซึ่งอย่างหลังต้องได้รับความเห็นจากหน่วยงานความมั่นคงก่อน เช่น กระทรวงการต่างประเทศ หรือกระทรวงกลาโหมอีกทั้ง กฟภ. ยังปฏิเสธข้อหาที่ว่า กฟภ. ได้ผลประโยชน์มหาศาลจากการขายไฟ โดยระบุว่า ปริมาณการขายไฟให้เมียนมา คิดเป็น 0.12-0.13% ของปริมาณไฟฟ้าที่ขายทั้งหมดเท่านั้น และมีรายได้เพียง 0.2% ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับรายได้ทั้งหมดขององค์กรแต่ที่ยังขายไฟให้เมียนมาอยู่นั้น ไม่ใช่การตัดสินใจของ กฟภ. แต่มาจากมติ ครม. ซึ่งอนุญาตให้ขายไฟให้ประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนที่มีประชาชนอาศัยอยู่ นโยบายนี้ไม่ได้มุ่งเน้นเรื่องกำไรเป็นหลัก แต่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและเสถียรภาพของพื้นที่ชายแดน และยืนยันว่า กฟภ. ดำเนินการตามหลักกฎหมายและระเบียบข้อบังคับ รวมถึงแนวทางที่ได้รับการเห็นชอบจากรัฐบาลไทยและกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งหากย้อนไปดู มติ ครม.ในอดีต ตามคำชี้แจ้งของ กฟภ. พบว่า คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 5 มีค. 2539 เห็นชอบให้ กฟภ. ขายไฟฟ้าให้ประเทศเพื่อนบ้านในบริเวณหมู่บ้านที่ใกล้กับเขตชายแดนของประเทศไทยโดยไม่ต้องขออนุมัติในระดับนโยบายอีก ทั้งนี้ ให้นำเสนอ ‘คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ’ เพื่อทราบ ยกเว้นจะมีประเด็นสำคัญให้เสนอเพื่อพิจารณาด้าน ประดิษฐ์ เฟื่องฟู ในฐานะโฆษก กฟภ. ที่ออกมาบอกว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนและทางองค์กรไม่ทราบว่าในจำนวนลูกค้า 22 ล้านราย มีลูกค้ารายใดบ้างที่นำไฟฟ้าไปใช้ในทางผิดกฎหมาย แต่หากทราบว่าลูกค้ารายใดกระทำผิดสัญญาการซื้อขาย เช่น ลักลอบขโมยไฟฟ้าไปใช้ ไม่ชำระค่าไฟฟ้าตามที่กำหนด หรือพบว่าเป็นความมั่นคงต่อประเทศ ทาง กฟภ. ก็สามารถยกเลิกสัญญาได้ “เราคงไม่มีหน้าที่โดยตรงที่จะเข้าไปตรวจสอบว่าใครกระทำความผิด แล้วก็ตัดไฟ อันนี้ไม่ใช่หน้าที่ของเรา เราต้องตระหนักดีว่าการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคไม่สามารถทำอะไรได้บุ่มบ่ามโดยพลการได้ เราเป็นหน่วยงานภาครัฐที่มี governance (ธรรมาภิบาล) ที่ดี ยึดหลัก Compliance (ปฏิบัติตามกฎระเบียบ) เราจึงต้องตรวจสอบข้อมูลอย่างถูกต้อง ไม่สามารถใช้คำบอกกล่าวโดยไม่มีหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรยืนยัน" ประดิษฐ์ กล่าวนอกจากนี้ ยังพบข้อมูลจากการเปิดเผยเอกสารของสำนักข่าวอิศรา ว่า กฟภ. เคยทำหนังสือสอบถามข้อมูลไปที่หลายหน่วยงาน ทั้งความมั่นคง ทหาร ตำรวจ เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย หรือความมั่นคงของประเทศรวมทั้งพิจารณาผลกระทบ และเตรียมความพร้อมหากเกิดกรณีการระงับการให้บริการจำหน่ายไฟฟ้าข้ามพรมแดนผ่านหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ช่วงเดือน พ.ค. - ส.ค.67 แต่ไม่ได้รับคำตอบกลับแต่อย่างใด หรือเมื่อวันที่ 21 พ.ย. 2567 กฟภ. ได้ทำหนังสือถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เรื่องขอความอนุเคราะห์พิจารณาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือความมั่นคงของประเทศ รวมทั้งพิจารณาผลกระทบและเตรียมความพร้อมหากเกิดกรณีการระงับการให้บริการจำหน่ายไฟฟ้าข้ามพรมแดน โดยมีรายชื่อหน่วยงานทั้งหมด 25 หน่วยงานเช่น เมื่อวันที่ 7 ส.ค. 2567 กฟภ. เคยทำหนังสือถึงเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) , เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เรื่องขอความอนุเคราะห์พิจารณาตรวจสอบบริษัทผู้ขอซื้อไฟฟ้า และกรรมการหรือผู้บริหารของบริษัท โดยมีประเด็นเกี่ยวข้องกับกระบวนการค้ายาเสพติด และกระบวนการฟอกเงินของผู้ได้รับสัมปทาน รวมถึงประเด็นความสงบเรียบร้อยหรือความมั่นคงของประเทศ แต่ก็ยังไม่ได้รับคำตอบ เอาล่ะ คราวนี้เราลองมาดูกันว่า หน่วยงานความมั่นคงอย่าง ‘กระทรวงมหาดไทย’ จะว่ายังไงกับคำแถลงของ กฟภ.‘อนุทิน’ ย้ำ รอความมั่นคงชี้จุด กฟภ. ไม่ใช่หน้าที่ กฟภ. ด้าน อนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ก็ได้ให้สัมภาษณ์ เมื่อวันที่ 30 ม.ค. 2568 ยืนยันว่า กระทรวงมหาดไทยสามารถตัดไฟแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้เลย หาก ‘สัญญาซื้อขายไม่ถูกต้อง’ ว่าหากกระทรวงมหาดไทยส่งไฟเข้าไปในตึกของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ก็สามารถทำได้เลยทว่าเรื่องดังกล่าวมีเงื่อนไขสัญญาขายไฟอยู่ หากทำผิดสัญญา คนที่ลงนามสัญญา คณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้การรับรองการขายไฟให้ประเทศเพื่อนบ้าน หน่วยงานที่ประสานเหล่านี้ต้องแจ้งกระทรวงมหาดไทย“จะไปรู้ได้อย่างไรว่าไฟเข้าไปในบ้านเลขที่เท่าไหร่ในจังหวัดชเวโก๊กโก กระทรวงมหาดไทยเราข้ามชายแดนไปได้หรือไม่ ไม่มีคู่เจรจา เพราะฉะนั้นต้องขีดเส้นทำงานให้ชัดเจน จะได้รู้ว่าใครควรรับผิดชอบในส่วนงานด้านไหน”“ก็สั่งมาสิ สั่งมาให้เรียบร้อย และผมก็ต้องรับฟังคำสั่งที่ถูกต้อง มีกฎหมายรองรับ ไม่ใช่ตามข่าว ความรู้สึก ความเชื่อ หรือการวิเคราะห์ของตัวเอง ไม่ใช่บริษัทส่วนตัวของผม จะไปสั่งอะไรได้ เพราะเป็นเรื่องของรัฐและสนธิสัญญาต่างๆ” ในวันเดียวกัน เมื่ออนุทิน โยนงานไปที่หน่วยงานความมั่นคง ด้าน ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็ได้ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้ไทยจ่ายไฟให้กับเมียนมา 2 จุด บริเวณสะพานมิตรภาพไทย- ลาวเข้าสู่เมวดี และชายแดนแม่ฮ่องสอน แต่จุดที่มีปัญหา คือ อำเภอแม่ระมาด กับอำเภอแม่สอด ได้ตัดไปแล้วเมื่อเดือนมิถุนายนปี 66 รวมถึงเรื่องระบบอินเทอร์เน็ต และยังได้สั่งการเพิ่มเติมว่า ผู้ใดให้ไฟฟ้าเขาใช้ก็ถือว่าสมรู้ร่วมคิด ฝ่ายความมั่นคงก็จะดำเนินการ หากพื้นที่มีปัญหาจะใช้เครื่องปั่นไฟก็เป็นเรื่องภายใน แต่ยืนยันว่า เราจัดการสั่งตัดไฟฟ้าไปแล้ว หากมีการลักลอบใช้ก็ต้องตรวจสอบกันต่อไปต่อมาวันที่ 31 ม.ค.2568 อนุทิน ได้ออกมาให้สัมภาษณ์อีกครั้ง ย้ำว่า กระทรวงมหาดไทยเป็นผู้ปฏิบัติเท่านั้น และก่อนหน้านี้ (ตามมติ ครม.) กฟภ. ถูกสั่งให้ขายไฟให้กับประเทศเพื่อนบ้านด้วยเหตุผลทางสิทธิมนุษยธรรม “กฟภ. จะเอาอำนาจตรงไหนไปตัดไฟ แต่หาก สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) มีหนังสือตอบกลับมาว่า พบว่ามีการกระทำที่ผิดกฎหมาย จึงเห็นสมควรให้หยุดตัดไฟ กฟภ.จะทำเรื่องมาถึงตนเพื่อส่งเรื่องไปถึงนายกฯ เพื่อให้พิจารณาสั่งการ ซึ่งต้องมีการพิสูจน์และยืนยัน แต่การดำเนินการสามารถทำได้ทันทีหากมีการพิสูจน์แล้ว เพราะการขายไฟให้ประเทศเพื่อนบ้านมีมติ ครม.รองรับ หากจะหยุดจ่ายไฟก็ต้องนำเข้า ครม.เมื่อที่ประชุมรับทราบก็สามารถตัดไฟได้ทันที”อนุทิน กล่าวว่า การจะทำอย่างที่กล่าวมาได้ต้องไปถึงจัดนั้นก่อน ผู้ที่บอกว่า มีการนำไฟฟ้าไปใช้ในการสแกมเมอร์หลอกลวง แก๊งคอลเซนเตอร์ หรือเกี่ยวกับยาเสพติด ขณะนี้มีเพียงแต่ข้อมูลทางวาจา ยังไม่มีการพิสูจน์ ไม่รู้ว่าทำตรงไหน หากไปตัดไฟโรงเรียน โรงพยาบาล หมู่บ้าน วัด จะไม่มีไฟใช้ทั้งหมด หากทำแล้วเป็นไปตามสัญญาหรือไม่ อาจถูกฟ้องกลับมาได้นอกจากนี้ อนุทิน ยังบอกอีกว่า จดหมายตอบกลับ ปปส. ที่ส่งมายัง กฟภ. ยืนยันว่า บริษัทที่รับไฟจาก กฟภ. ไปจำหน่ายในเมียนมา ไม่มีประวัติการกระทำผิดกฎหมาย ดังนั้น กฟภ. จึงไม่มีอำนาจสั่งหยุดจ่ายไฟเอง เว้นแต่จะได้รับคำสั่งจากรัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสรุปคือ อนุทินในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้โยนการตัดสินใจเรื่องนี้ ไปที่สภาความมั่นคงนั่นเองสส.-นักวิชาการซัดกลับ ติง ‘อนุทิน’ อย่าโบ้ยมั่วซั่วหลังจากคุณอนุทินให้สัมภาษณ์เช่นนี้ ด้าน รังสิมัน โรม สส. พรรคประชาชนก็ได้ออกมาตอบโต้ผ่านเฟซบุ๊กอย่างรวดเร็ว โดยระบุให อนุทินหยุดโบ้ยไปที่หน่วยงานอื่น เพราะเรื่องตัดไฟฟ้าเป็นอำนาจของ กฟภ. ตามระเบียบการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคว่าด้วยการใช้ไฟฟ้าและบริการ ปี 2562 ข้อ 51.7 ที่ระบุอย่างชัดเจนว่า การไฟฟ้ามีอำนาจในการงดจ่ายไฟหากพบว่า การจ่ายไฟฟ้ากระทบต่อความมั่นคงของชาติ การไฟฟ้าสามารถตัดไฟฟ้าตั้งแต่ท่าขี้เหล็ก เมียวดี จนถึงพญาตองซูได้เลยเช่นเดียวกัน พวงทอง ภวัครพันธุ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ระบุว่า กระทรวงมหาดไทยมีหน่วยงานที่ชื่อ กรมการปกครอง ที่มีหน้าที่หลักคือ รักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงภายใน รวมถึงงานข่าว และกิจการชายแดน ที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงภายในของไทย พูดอีกอย่างหนึ่งคือ มท.เป็นหนึ่ง ในหน่วยงานความมั่นคงภายในฝ่ายพลเรือน และตั้งคำถามว่า เรื่องผลกระทบของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเมียนมา ดำเนินมาไม่น้อยกว่า 1 ปีแล้ว ที่ผ่านมาฝ่ายปกครองของกระทรวงมหาดไทย ไม่เคยประชุมปรึกษาหารือเพื่อหาทางแก้ไขปัญหานี้ร่วมกับหน่วยงานความมั่นคงอื่นๆ ในประเทศเลยหรืออย่างไร? ไม่เคยมีข้อมูลหรือความเห็นว่ามันกระทบต่อประชาชนและความมั่นคงของประเทศเลยหรือ? ถ้าไม่เคย ใครต้องรับผิดชอบ? ด้าน อาจารย์ปิ่นแก้ว ก็ออกมาโพสต์แสดงความเห็นใจถึงคุณอนุทิน ตอนหนึ่งว่า เมืองสแกมเมอร์ใหญ่สองเมือง ตั้งอยู่ติดเขตไทย ในนั้นไม่มีหมู่บ้าน ไม่มีโรงเรียน ไม่มีสถานรับเลี้ยงเด็ก สถานพยาบาลบ้าบออะไรอย่างที่ว่ามา มีแต่ตึกสูงขนาดใหญ่นับร้อยตึกให้เช่าทำสแกมเมอร์ มีแต่วิลล่าหรูเรียงกันเป็นตับของพวกบอส สระว่ายน้ำ และสถานบันเทิงต่างๆ ฯลฯ ทำไมจะตัดไฟไม่ได้ ในเมื่อ กฟภ.ก็รู้ดี และมีรายชื่อผู้ใช้ไฟของทุนจีนในสองเมืองนี้อยู่ในมือ ทำไมจะตัดไฟไม่ได้? ในเมื่อนอมินีเอกชนฝ่ายไทยรู้ดีว่า จุดที่ส่งไฟไปยังสองเมืองนี้อยู่ตรงไหน เพราะเป็นบริษัทที่ไปติดตั้งหม้อแปลง และอุปกรณ์ต่างๆกับมือ หรือจะต้องรอให้จีนมีคำสั่งให้ไทยตัดไฟเหมือนปีที่แล้ว มณฑลไท่กว๋อถึงจะยอมทำงานกันเสียที!นอกจากนี้ วันที่ 4 ก.พ. อาจารย์ปิ่นแก้ว ยังได้โพสต์ข้อความเรื่อง ผลประโยชน์มหาศาลที่สะท้อนจากการดำเนินการที่แสนจะยากเย็น ในการ ‘ตัดไฟเมืองสแกมเมอร์’ ดังนี้ 1) ผลประโยชน์การขายไฟ ที่แม้ กฟภ.จะออกมาปฏิเสธว่า รายได้จากการขายไฟเฉพาะในเขตเมียวดี ถือเป็นเปอร์เซ็นที่ต่ำมาก เมื่อเทียบกับรายได้รวมทั้งหมดของ กฟภ. แต่โปรดอย่าลืมว่า สิ่งที่ไม่ถูกพูดถึงและมีการพยายามเบี่ยงเบนประเด็น น่าจะไม่ใช่แค่เรื่องเมียวดี แต่เป็น domino effect ที่จะสะเทือนถึงการขายไฟตลอดแนวชายแดนทั้งหมด หากยอมให้การตัดไฟที่เมียวดีเกิดขึ้นได้ ที่ตัวเลขรวมกันแล้วน่าจะหลักพันล้าน นายทุนใหญ่ที่ขายไฟให้การไฟฟ้า นายทุนท้องถิ่นที่เป็นนายหน้าติดตั้งระบบไฟในเมืองชายแดนและทำมาหากินกับการขายไฟต่อให้พวกแก๊งอาชญากรรมจีน ตลอดจน กฟภ.เอง ได้รับผลกระทบกันเต็มๆ ช่วงที่ผ่านมา จึงอยู่กันไม่สุข 2) ส่วยและการเกรงใจจีนเทา แก๊งค์สแกมเมอร์จีน ต้องถือว่าเป็นลูกค้ารายใหญ่และเป็นลูกค้าชั้นดี ที่จ่ายส่วยเต็มเม็ดเต็มหน่วยมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา จ่ายทุกหน่วยงาน และจ่ายรอบวง ไม่ใช่แค่ให้กับกองกำลัง BGF (กองกำลังพิทักษ์ชายแดนกะเหรี่ยงหรือกะเหรี่ยง) แต่ให้กับหน่วยงานไทยที่ดูแลชายแดนทั้งหมด เป็นหน่วยงานไหนบ้าง กระทรวงมหาดไทย น่าจะทราบดี เพราะถือเป็นส่วยข้ามแดนรายใหญ่ที่มีเดิมพันสูง เนื่องเพราะเกี่ยวพันกับอาชญากรรมค้ามนุษย์ระดับโลก อีกทั้งเมื่อปี 2566 สื่อไทยเคยรายงานข่าวเรื่องตำรวจไทยข้ามฟากไปเรียกเก็บส่วยจีนเทาในอัตราที่สูงขึ้น จน BGF โกรธถึงกับลุกขึ้นมาขู่จะปิดพรมแดน จนตำรวจต้องตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงขึ้นมา ซึ่งจนบัดนี้ ไม่ปรากฎว่าผลสอบออกมาเป็นอย่างไร การตัดไฟ ซึ่งจะนำไปสู่การย้ายฐานของแก๊งสแกมเมอร์รายใหญ่นี้ ย่อมหมายถึงการสูญเสียรายได้มหาศาลจากส่วยในชายแดนแม่สอด-เมียวดี ที่เจ้าหน้าที่รัฐไทย ได้รับผลกระทบเต็มๆ3) ความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ระหว่างหน่วยงานความมั่นคงไทยกับกองกำลังชนกลุ่มน้อยชายแดน ที่พึ่งพาอาศัยกันและกัน และเลี้ยงดูปูเสื่อกันมายาวนาน การทุบหม้อข้าวของ BGF ด้วยการตัดไฟแก๊งค์สแกมเมอร์จีน ย่อมส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ดังกล่าว‘สมช.’ โบ้ยต่อ ยัน ‘สภาความมั่นคงไม่มีอำนาจสั่งตัดไฟ’ 31 ม.ค. 2568 มาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานประชุมคณะกรรมการเฉพาะกิจบริหารสถานการณ์อันเนื่องมาจากความไม่สงบในเมียนมา โดยบอกว่า ในที่ประชุมมีการหารือเรื่องการตัดไฟไปเมียนมา ส่วนจะมีการตัดสินใจอะไร อยากให้ส่วนที่เกี่ยวข้องหารือรายละเอียดก่อน โดยมอบให้ ฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ไปรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่าย ก่อนที่จะมีการตัดสินใจ เมื่อนักข่าวถามว่า หน่วยงานใดจะเป็นเจ้าภาพหลัก เพราะขณะนี้มีการโยนกันไปมาของหน่วยงาน มาริษ ตอบว่า คณะอนุกรรมการมีการมอบหมายงานให้ทาง เลขาฯ สมช.ไปประชุมต่อ ก่อนจะนำความเห็นให้ที่ประชุมคณะกรรมการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) คณะใหญ่เป็นผู้พิจารณาตัดสินใจเป็นคนสุดท้าย ส่วนจะใช้ระยะเวลานานหรือไม่ นายมาริษระบุว่าจะดำเนินการให้เร็วที่สุด โดยวางไทม์ไลน์ไว้ไม่เกิน 1 เดือน พร้อมย้ำว่าต้องฟังเหตุผลและความสมดุลเพื่อผลประโยชน์ของทุกฝ่าย ในวันเดียวกัน ไมค์ก็ได้ย้ายไปจ่อที่ ฉัตรชัย บางชวด เลขา สมช. ทันที โดยเขาระบุว่า กฟภ. จะนำเรื่องนี้ไปดำเนินการหารือกับคู่สัญญา ซึ่งทุกอย่างต้องยึดตามหลักกฎหมาย แต่ก็ไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจนว่าใครมีอำนาจสั่งตัดไฟ บอกเพียงว่าต้องไปดูข้อกฎหมายระหว่าง กฟภ.กับคู่สัญญาที่ร่วมกันลงนามไว้แต่เดิมเป็นอย่างไร ซึ่ง สมช.ไม่มีอำนาจไปบอกว่าจุดไหนเป็นอันตรายกับประเทศไทย ต่อมา 3 ก.พ. สมช. กฟภ. ตัวแทนจากมหาดไทยและกองทัพ ก็ได้จัดประชุมหารือกัน เพื่อประมวลข้อมูลด้านความมั่นคงเพื่อส่งให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และได้ข้อสรุปว่าจะส่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด อาชญากรรมข้ามชาติ ค้ามุษย์ และแก๊งคอลเซ็นเตอร์รวม 6 ข้อให้โดยเร็วที่สุด เพื่อให้ กฟผ. และมหาดไทยนำข้อมูลไปพิจารณาเรื่องการตัดไฟ ดังนี้1. ข้อมูลที่เกี่ยวกับความมั่นคงพื้นที่ตั้งจุดต่างๆ ที่เชื่อได้ว่ามีหลักฐานระดับหนึ่งที่เกี่ยวพันกับอาชญากรข้ามชาติ หรือ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งอยู่ในฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมีหลายจุดตั้งแต่ทางฝั่งแม่สาย เมียวดี พญาตองซู2. อาจมีความเชื่อมโยงของบุคลลที่เกี่ยวบริษัทสัมปทาน กลุ่มที่เป็นกแก๊งคอลเซ็นเตอร์และบ่อนกาสิโนทั้งหลายก็มีความเกี่ยวกันกันระดับหนึ่งในเรื่องตัวบุคคล ที่อาจมีความเป็นไปได้ในการเชื่อมโยงกับการจำหน่ายไฟ ภายในเมียนมา 3. พบว่ามีความต้องการขอใช้ไฟเพิ่มขึ้นผิดปกติ แต่เราไม่อนุมัติ เพราะไม่สามารถอธิบายได้ว่าเอาไปทำอะไร4. แม้ที่ผ่านมาทางรัฐบาลไทย และ กฟภ. เคยมีการตัดไฟไปแล้ว ที่ชเวก๊กโก และ เคเคปาร์ค แต่ปรากฎเขายังประกอบกิจการได้ ซึ่งอาจใช้น้ำมันปั่นไฟ 5. พบว่าสัดส่วนการใช้ไฟตามจุดต่างๆเป็นอย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องพิจารณา6. จุดที่เคยตัดไฟไปแล้ว พบหลักฐานบางอย่างว่ามีหาไฟจากแหล่งอื่นไปทดแทน นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีมติอีก 3 เรื่อง คือ1. ข้อมูลที่พบทั้งหมด จะส่งไปยังการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเพื่อประกอบการพิจารณา2. ให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค นำข้อมูลไปเจรจาบริษัทคู่สัญญาไฟฟ้า เพื่อพิจารณากำหนดมาตรการให้เหมาะสม ให้เป็นไปตามสัญญา โดยใช้มาตรการจากเบาไปหาหนัก3.ให้กระทรวงการต่างประเทศประสานกับรัฐบาลเมียนมา และกำชับบริษัทคู่สัญญาที่รัฐบาลเมียนมาอนุมัติให้มาสัมปทานกับ กฟภ. เพื่อให้รัฐบาลเมียนมาตรวจสอบว่ามีการใช้ไฟไม่เหมาะสม รวมถึงมีคณะทำงานร่วมจากฝั่งไทยและเมียนมา เข้าไปดูพื้นที่ร่วมกันว่าจุดไหนมีปัญหา เพื่อรับทราบปัญหาร่วมกัน ซึ่งทั้งหมดเป็นมาตรการเฉพาะกรณีที่เกิดขึ้น ระหว่าง กฟภ. และบริษัทคู่สัญญาใน 3 พื้นที่หลัก ได้แก่ ท่าขี้เหล็ก-แม่สาย แม่สอด-เมียวดี และ พญาตองซู ‘อนุทิน’ ย้ำอีกครั้ง มหาดไทย-กฟภ. พร้อมตัดไฟ หาก สมช. สั่ง!3 ก.พ. 2568 อนุทิน ชาญวีรกูล ให้สัมภาษณ์เรื่องที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เข้าร่วมประชุมกับสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เพื่อประมวลข้อมูด้านความมั่นคงในการหยุดจ่ายไฟตามแนวชายแดนและประเทศเพื่อนบ้าน โดยอนุทินระบุว่า กระทรวงมหาดไทยเป็นผู้ร้องขอไปเองว่าให้ สมช. ช่วยยืนยันแหล่งกระทำผิด เพราะถ้ามีจริงก็พร้อมที่จะตัดการจ่ายไฟ แต่ สมช. ต้องยืนยันมาก่อน โดย สมช. ไม่มีการแจ้งว่าจะส่งเป็นความเห็นมาให้ แต่ถึงแม้จะเป็นเพียงความเห็น กระทรวงมหาดไทยก็พร้อมที่จะดำเนินการทันที เพราะก็ไม่ได้สนับสนุนอยู่แล้วอนุทินยังกล่าวต่อว่า การขายไฟฟ้ามีสัญญาอยู่ อย่างไรก็ต้องมีการยื่นหนังสือทวงถาม ซึ่งคิดว่าทุกฝ่ายและหน่วยงานก็เร่ง และเชื่อว่ากระทรวงการต่างประเทศก็คงต้องแจ้งไปยังสหภาพเมียนมาว่าหากกระทำผิดจริงก็ต้องมีการเตรียมตัวไว้ ทางประเทศเพื่อนบ้านก็ต้องหาแหล่งมาทดแทนพลังงาน เพราะถ้าเกิดความเสียหายกับประเทศไทย เราก็ไม่สามารถจ่ายไฟได้ ซึ่งเขียนอยู่ในสัญญาแล้วอนุทินมองว่า เรื่องนี้ไม่ต้องถึงมือ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพราะสามารถให้หน่วยงานที่ไปทำข้อตกลงแจ้งกลับมาที่ กฟภ. เพื่อให้หยุดจ่ายไฟได้ โดยขณะนี้หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องก็มีความคืบหน้าและตอบสนองเรื่อยๆ หากแต่ยังไม่มีหน่วยงานใดยันยันการกระทำความผิดอย่างที่กล่าวอ้างได้ ถัดมาวันนี้ 4 ก.พ. 2568 อนุทินได้ออกมาให้สัมภาษณ์อีกครั้ง กรณีที่ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ระบุว่า สามารถออกคำสั่งตัดไฟในชายแดนเมียนมาได้ทันที โดยอนุทินกล่าวว่า รอทางสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ชี้แจงดีที่สุด เนื่องจากเมื่อวานได้มีการประชุมเรียบร้อยแล้ว ซึ่งทุกหน่วยงานที่ไปประชุม มีความเห็นตรงกันว่าจะให้ทาง สมช. รวบรวมข้อมูลทั้งหมดและนำเสนอนายภูมิธรรม ในฐานะประธาน สมช. ฉะนั้นหากมีข้อสั่งการอย่างไรมาก็พร้อมที่จะปฏิบัติตาม“แต่ไม่ใช่ว่าการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หรือ กฟภ. จะไปหยุดจ่ายไฟเองได้ทันที ซึ่งไม่ใช่อย่างแน่นอน พร้อมย้ำว่าหากนายภูมิธรรมเซ็นคำสั่ง เราก็พร้อมที่จะตัดไฟในทันที เพราะถือเป็นการสั่งการที่มีกฎหมายรองรับ”ส่วนกรณีที่ สมช. บอกว่า ต้องมีหลักฐานต่าง ๆ ก่อนตัดไฟนั้น อนุทินกล่าวว่า สมช.เรียกประชุมและมีข้อสรุปออกมาเรียบร้อยแล้ว ขณะเดียวกัน คนที่ไปประชุมก็ได้รายงานกลับมาให้ผู้บังคับบัญชาทราบแล้ว พร้อมยกตัวอย่างในส่วนของกระทรวงมหาดไทย ก็มี ชำนาญวิทย์ เตรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ไปร่วมประชุม และให้ความเห็นในส่วนของกระทรวงมหาดไทยด้วย ซึ่งทุกฝ่ายก็ให้การยอมรับ โดย สมช.บอกจะรวบรวมทุกอย่างและนำเสนอนายภูมิธรรม ฉะนั้นต้องมีการสั่งการลงมาก่อน ยืนยันว่าเราพร้อมปฏิบัติอยู่แล้วส่วนจะตัดไฟในพื้นที่ใดนั้น นายอนุทินกล่าวว่า ให้เป็นไปตามรายงาน แต่วันนี้ยังไม่มีคำสั่งอะไรมา และยังไม่มีการชี้จุดเลยว่าแหล่งที่ทำผิดกฎหมายที่ใช้ไฟจากประเทศไทย เกิดผลเสียหาย และกระทบกับประเทศไทยอยู่ตรงจุดไหนบ้าง ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาเคยตัดไฟฟ้าไปแล้ว 3 แห่ง เพราะฉะนั้นการตัดไฟฟ้าจากประเทศไทยที่พิสูจน์ทราบได้ชัดและมีการแจ้งมาอย่างถูกต้อง ได้ดำเนินการไปแล้ว ไม่ใช่เรื่องใหม่ และหากจะมีการตัดไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจะต้องมีการแจ้งมาอย่างถูกต้องเรื่องนี้อาจไม่ใช่แค่ความวายป่วงของระบบราชการไทยที่ซับซ้อน แต่อาจมีผลประโยชน์ในเงามืดและเกมการเมืองอยู่เบื้องหลัง ‘ภูมิธรรม’ ชี้ ไม่อยาให้โยนไปโยนมา เตรียมเรียกถกด่วน!ในวันเดียวกัน ภูมิธรรม เวชยชัย กล่าวถึงความคืบหน้าเรื่อง การตัดไฟฟ้าเมียนมา หลัง สมช. ประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาว่า ตนได้สั่งการให้ เลขา สมช. เรียกประชุมในระดับปฏิบัติการ พร้อมเชิญ กฟภ. มาพูดคุย เนื่องจากไม่อยากให้โยนกันไปมา ทั้งกระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นหน่วยงานความมั่นคงทั้งหมด โดยมีสมช.เป็นตัวกลางทำหน้าที่ประสานงาน ซึ่งเรื่องดังกล่าว เราดำเนินการมาแล้วตั้งแต่สมัยนายกฯเศรษฐา ทวีสิน ภูมิธรรมยืนยันว่าการประชุมในช่วงเช้าของ สมช. มีความเป็นเอกภาพ ไม่ได้มีการโยนกันไปมาและสิ่งที่สำคัญ ให้ดำเนินการตามกระบวนการกฎหมายทั้งหมด โดยให้ประสานระหว่าง สมช. กระทรวงมหาดไทย เพื่อประสานให้กระทรวงการต่างประเทศติดต่อ กับเมียนมา เพื่อดำเนินการจากมาตรการเบาไปหาหนัก ล่าสุด วันนี้ 4 ก.พ. 2568 ภูมิธรรม เดินทางเข้ากระทรวงกลาโหม หลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อพบหารือกับ นาย หลิว จงอี ผู้ช่วยรัฐมนตรี กระทรวงความมั่นคงและสาธารณะของจีน โดยระบุว่า นัดพูดคุยกับทางจีนที่กระทรวงกลาโหม จากนั้นได้เรียกประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) วาระเร่งด่วนในเวลา 17.00 น.(วันนี้) ที่ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งจะมีความชัดเจนเรื่องมาตรการตัดไฟฟ้าข้ามแดน ในพื้นที่เสี่ยงขบวนการคอลเซ็นเตอร์ประเทศเพื่อนบ้านนายกฯ ไฟเขียว หยุดขายไฟให้เมียนมา!4 ก.พ. 2568 แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) สามารถหยุดการขายไฟฟ้าให้กับเมียนมาได้ทันที หลังจากฝ่ายความมั่นคงยืนยันว่า พื้นที่ใกล้ชายแดนไทย-เมียนมาหลายแห่ง ถูกใช้เป็นฐานที่มั่นของขบวนการคอลเซ็นเตอร์ และสแกมเมอร์ กลุ่มทุนจีนสีเทา“ไม่มีความลังเล ถ้าสุดท้ายเราดูเรื่องชายแดนชัดเจนแล้วก็ตัดไฟได้เลย เรื่องน้ำมัน (เพื่อปั่นไฟฟ้า) ก็ไม่ต้องส่ง เพราะว่าเราต้องโอบอุ้มคนของเราก่อน เราต้องดูแลคนของเราก่อน สิ่งที่เกิดขึ้นมีผลกระทบต่อคนไทยมากมาย ต่อภาพลักษณ์ของประเทศอย่างมากมาย” นายกรัฐมนตรี ยังมีข้อสั่งการกรณีเรื่องของปัญหาที่มีอยู่ในเรื่องการตัดน้ำหรือไฟไปยังประเทศเพื่อนบ้านของไทย ว่า การกำกับเรื่องมาตรการการตัดน้ำตัดไฟในพื้นที่ชายแดนของสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) หากมีข้อมูลของการกระทำผิด ขอให้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เรียกประชุมกับทาง สมช. เพื่อพิจารณาในมาตรการต่อไปอย่างชัดเจน โดยให้คำนึงถึงประโยชน์ ความปลอดภัยของประชาชนคนไทยและประเทศไทยที่ได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่ หากต้องตัดก็ให้ดำเนินการขั้นตอนต่อไปคือ ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กระทรวงมหาดไทย (มท.) ในฐานะผู้กำกับดูแล กฟภ. เพื่อสั่งดำเนินการตัดไฟฟ้าดังกล่าวโดยในเวลา 18.55 น. ของเดียวกัน ภูมิธรรม ได้ออกมาแถลงภายหลังการประชุมว่า สมช.ได้รวบรวมข้อมูลทุกฝ่ายทุกส่วนแล้วเห็นว่าเป็นเรื่องที่กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ มีประชาชนทั้งหมด 557,500 กว่าคดี รวมเงิน 86,000 กว่าล้านบาท แต่ละวันมีความเสียหาย 80 ล้านบาท ถือเป็นการสรุปชัดเจนจากหน่วยงานด้านข่าวที่เกี่ยวข้องว่าเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อพี่น้องประชาชนและทั่วโลกจึงมีมติให้ตัดไฟ ตัดอินเทอร์เน็ต ตัดน้ำมัน ตั้งแต่เวลา 09.00 น. ของวันที่ 5 ก.พ. เป็นต้นไป ซึ่งตนจะกลับไปเซ็นหนังสือในคืนนี้เลย (4 ก.พ.) โดยกระทรวงการต่างประเทศจะแจ้งให้รัฐบาลเมียนมารับทราบ ให้แจ้งสถานพยาบาลให้รับรู้และเตรียมตัว โดยจะเป็นการตัดทั้ง 5 จุดตามที่ปรากฏเป็นข่าวก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เกี่ยวพันกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทั้งนั้น เราถือว่าเรื่องนี้เป็นความทุกข์ของประเทศ และประชาชนที่เผชิญอยู่เป็นเรื่องที่เราต้องดูแลภูมิธรรม กล่าวว่า เราแจ้งว่าเราจะตัดเพราะมีปัญหาความมั่นคง เมื่อเราแจ้งแล้วรัฐบาลเมียนมาจะดำเนินการอย่างไรก็เป็นเรื่องของรัฐบาลเมียนมา เราไม่ได้เข้าไปแทรกแซง ด่านชายแดนทั้งหมดเราจะจัดการให้สอดรับกับการซีนชายแดน 51 อำเภอ ซึ่งจะสามารถควบคุมเรื่องนี้ได้ทั้งหมด ซึ่งมติสมช. จะได้ชี้แจงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับ 5 จุด ที่จะถูกตัดไฟได้แก่ 1. จุดซื้อขายบริเวณบ้านเจดีย์สามองค์ - เมืองพญาตองชู รัฐมอญ โดยบริษัท Mya Pan Investment and Manufacturing Company Limited เป็นผู้ได้รับสัมปทานจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา2. จุดซื้อขายไฟฟ้าบริเวณบ้านเหมืองแดง - เมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน โดยบริษัท อัลลัวร์ กรุ๊ป (พีแอนด์อี) จำกัด เป็นผู้ได้รับสัมปทานจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา3. จุดซื้อขายไฟฟ้าบริเวณสะพานมิตรภาพไทย - พม่า - เมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน โดยบริษัท อัลลัวร์ กรุ๊ป (พีแอนด์อี) จำกัด เป็นผู้ได้รับสัมปทานจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา4. ซื้อขายไฟฟ้าบริเวณสะพานมิตรภาพไทย - พม่า แห่งที่ 2 - อ.เมียวดี รัฐกะเหรี่ยง สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดยบริษัท Nyi Naung Oo Company Limited และ บริษัท Enova Grid Enterprise (Myanmar) Company Limited เป็นผู้ได้รับสัมปทานจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา5. จุดซื้อขายไฟฟ้าบริเวณบ้านห้วยม่วง - อ.เมียวดี รัฐกะเหรี่ยง โดยบริษัท Shwe Myint Thaung Yinn Industry and Manufacturing Company Limited (SMTY) เป็นผู้ได้รับสัมปทานจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาอ้างอิง:เปิดหนังสือ กฟภ. 30 ฉบับ แจ้ง ‘หน่วยงานความมั่นคง’ ขอมติตัดไฟ สแกมเมอร์เมียนมาเปิดมติครม.ยุคเศรษฐา สั่งตัดน้ำ-ไฟ แก้ปัญหาอาชญากรรมทางไซเบอร์ ไม่คืบหน้า“ถ้ากดหยุดได้ หยุดไปแล้ว” แล้วทำไมไม่หยุด?: ถอดรหัสวิวาทะ ‘อนุทิน’ ใครมีอำนาจสั่งระงับจ่ายไฟฟ้าในพม่า