สถิติเผยคนไทยเสียชีวิตจากโรคมะเร็งวันละ 227 คน โดยเฉพาะ "มะเร็งปอด" มากถึงวันละ 40 คน สูงกว่าอุบัติเหตุบนท้องถนน แม้ผู้สูบบุหรี่มีโอกาสพบมะเร็งปอดมากกว่าผู้ไม่สูบ 10 เท่า แต่ฝุ่น PM 2.5 ก็เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม
เนื่องในวันมะเร็งโลก 4 กุมภาพันธ์ 2568 องค์การอนามัยโลก (WHO) คาดการณ์ว่า จำนวนผู้ป่วยมะเร็งทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 77 ภายใน 25 ปีข้างหน้า ในขณะที่ข้อมูลจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติระบุว่า แต่ละปีมีคนไทยป่วยเป็นมะเร็งรายใหม่ประมาณ 140,000 คน เสียชีวิตประมาณ 83,000 คน โดยมะเร็งที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตของคนไทย 5 อันดับแรก ได้แก่ มะเร็งตับและท่อน้ำดี มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก และมะเร็งเม็ดเลือดขาว
สำหรับประเทศไทยที่ปัจจุบันคนในหลายพื้นที่เผชิญกับปัญหาฝุ่น PM 2.5 การตรวจคัดกรองมะเร็งปอดจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ เพราะมะเร็งปอดกำลังคร่าชีวิตคนไทยในอัตราที่น่าตกใจถึงวันละ 40 ราย สูงกว่าการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนน โดยพบผู้ป่วยรายใหม่เฉลี่ยวันละ 48 คน ส่วนใหญ่มาพบแพทย์ในระยะลุกลาม เนื่องจากอาการเริ่มต้นไม่ชัดเจน แม้ผู้สูบบุหรี่มีโอกาสพบมะเร็งปอดมากกว่าผู้ไม่สูบ 10 เท่า แต่มลพิษทางอากาศโดยเฉพาะฝุ่น PM 2.5 ก็เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม

...
นายแพทย์ ยศวัจน์ รุ่งโรจน์วัฒนา อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งวิทยา คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช กล่าวว่า “โรคมะเร็งปอดสามารถเกิดได้ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย แต่หากตรวจพบตั้งแต่ระยะแรก มีโอกาสรักษาให้หายขาดได้ การตรวจสุขภาพเป็นประจำและการคัดกรองมะเร็งปอด จึงมีความสำคัญ โดยเฉพาะในปัจจุบันที่มีเทคโนโลยีช่วยให้การตรวจคัดกรองมีความแม่นยำมากขึ้น เช่น การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์แบบใช้ปริมาณรังสีต่ำ Low-dose CT Scan ทำให้สามารถวินิจฉัยโรคได้เร็วขึ้น เพิ่มโอกาสในการรักษา นอกจากนี้ ความก้าวหน้าด้าน Targeted Therapy (การรักษาแบบมุ่งเป้า) และ Immunotherapy (ภูมิคุ้มกันบำบัด) ยังช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดผลข้างเคียงจากเคมีบำบัด และช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น”

โรคมะเร็งนอกจากทำลายสุขภาพของผู้ป่วยแล้ว โรคมะเร็งยังส่งผลกระทบต่อครอบครัวและคนใกล้ชิดของผู้ป่วยด้วย ดังนั้น การรักษามะเร็งในปัจจุบันจึงไม่ใช่แค่การรักษาโรค แต่ยังหมายถึงการที่คนใกล้ชิดมีความรู้สามารถช่วยดูแลคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยในระยะยาวได้อย่างเหมาะสม
ทั้งนี้ การตรวจคัดกรองด้วย Low-dose CT Scan ถือเป็นความหวังในการช่วยลดอัตราการเสียชีวิตได้ถึงร้อยละ 20 เนื่องจากสามารถตรวจพบโรคได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น และมีโอกาสรักษาหายขาดสูงกว่ามาก
เสียงสะท้อน ข้อคิด และความหวัง จากผู้ป่วยโรคมะเร็งปอด
จากประสบการณ์ของผู้ป่วยโรคมะเร็งปอด คุณนุช นางธิยารัตน์ ธนาจิรวรพัฒน์ กล่าว่า "ดิฉันอยู่ในครอบครัวที่ไม่มีใครสูบบุหรี่เลย ก่อนตรวจเจอโรคมะเร็งปอด ด้วยวิชาชีพพยาบาลเป็นคนที่ดูแลคนอื่น ไม่ค่อยได้ดูแลตัวเอง มีความเครียดจากการทำงาน และพักผ่อนไม่เป็นเวลา การตรวจเจอมะเร็งทำให้กลับมาดูแลสุขภาพกายและใจของตัวเอง คิดบวก และปล่อยวางมากขึ้น หันกลับมาดูแลเรื่องอาหารการกิน และพักผ่อนอย่างเพียงพอ

อยากฝากถึงทุกคนว่า ตอนนี้พวกเราอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมให้เรามีโอกาสเป็นโรคเกี่ยวกับปอดมากขึ้น ดังนั้น ถ้าพบว่าตัวเองหรือคนในครอบครัวมีอาการผิดปกติ ให้รีบพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายทันที สิ่งสำคัญที่อยากให้ประเทศไทยมีคือ ระบบคัดกรองคนไข้ที่เข้าเกณฑ์เสี่ยงเป็นมะเร็งปอด เช่น คนอายุ 50 ปีขึ้นไป หรือมีคนในครอบครัวเป็นมะเร็งปอด หรือมีอาการไอ น้ำหนักลด อยากให้คนกลุ่มนี้มีโอกาสได้ตรวจคัดกรองตั้งแต่เนิ่น ๆ เพราะหากตรวจพบโรคระยะแรก ๆ ค่ารักษาจะลดลงมาก นอกจากนี้ เทคโนโลยีทางการแพทย์และยาในปัจจุบันก้าวหน้าไปมาก ช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้ป่วยมีชีวิตยืนยาวขึ้นด้วย"
...
เสียงจากคุณนก ศุภาทร กัลยาณสุต ผู้ช่วยแพทย์แผนไทย และเป็นประธานชมรมผู้ป่วยมะเร็งปอด ของ TCS และอยู่ร่วมกับโรคมะเร็งปอดในฐานะผู้ป่วยมะเร็งปอดระยะ 4 ชนิด Non-small cell ปัจจุบันในวัย 56 ปีกำลังอยู่ระหว่างการรักษาด้วยยามุ่งเป้า หลังจากมะเร็งปอดกลับมาลุกลามอีกครั้ง นางศุภาทร เล่าว่า "ดิฉันเป็นคนที่ดูแลสุขภาพตัวเองดีมาตลอด ออกกำลังกายทุกวัน และตรวจสุขภาพประจำปีตามปกติ ดิฉันประเมินว่า ฝุ่นในอากาศอาจมีส่วนทำให้เป็นมะเร็ง เพราะดิฉันออกกำลังกายกลางแจ้งเป็นประจำ แม้ตอนนั้นยังไม่มีใครพูดถึง PM 2.5 ก็ตาม แต่ปัจจุบันกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ส่งผลต่อสุขภาพของคนไทย

ดังนั้น จึงอยากแนะนำให้ทุกคนสวมหน้ากากป้องกัน เมื่อต้องเผชิญกับฝุ่นจิ๋ว นอกจากนี้ อยากส่งเสริมให้ทุกคนตรวจสุขภาพประจำปีเป็นประจำ ส่วนผู้ป่วยมะเร็งก็อยากแนะนำว่า หากยังมีวิธีรักษา ก็ควรจะรักษา เพราะตอนนี้มียาที่มีประสิทธิภาพดี ควรทานอาหารให้หลากหลาย ออกกำลังกาย และที่สำคัญ คือ อย่าหมดกำลังใจ"