ช่วงสุดท้ายก่อนครบ 10 วันอันตรายในเทศกาลฉลองปีใหม่ 2568 คนแห่เดินทางกลับ หลังหมดช่วงหยุดยาว ส่งอุบัติเหตุทางถนนเกิดต่อเนื่อง ยอดตายสะสม 393 ศพ เจ็บ 2,251 คน “สุราษฎร์ธานี” รั้งแชมป์การเกิดอุบัติเหตุ-ผู้บาดเจ็บสะสมสูงสุด ส่วน กทม.แชมป์ผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด รองอธิบดี ปภ.ลั่นเตรียมถอดบทเรียนจากการทำงาน มาปรับปรุงในช่วงหยุดยาวอื่นๆของปี ด้านกรมควบคุมประพฤติชี้ 9 วันที่มีการควบคุมเข้มงวด คดีคุมประพฤติพุ่งไป 7,647 คดี เป็นคดีขับรถขณะเมาสุราถึง 7,301 คดี กทม.แชมป์ที่ 605 คดี ตามด้วยเชียงใหม่ 441 คดี และนนทบุรี 395 คดี
ที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กระทรวงหาดไทย เมื่อวันที่ 5 ม.ค. เวลา 10.30 น. ศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน(ศปถ.) ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประธานแถลงผลการดำเนินงานของ ศปถ. ประจำวันที่ 4 ม.ค.2568 ที่เป็นวันที่เก้าของการรณรงค์ “ขับขี่ปลอดภัย เมืองไทยไร้อุบัติเหตุ” โดยนายสหรัฐ วงศ์สกุลวิวัฒน์ รองอธิบดี ปภ.ในฐานะประธานการประชุมคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจ ศปถ. กล่าวว่า ปีนี้ ศปถ.กำหนดช่วงควบคุมเข้มข้นการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน 10 วัน ตั้งแต่วันที่ 27 ธ.ค. 2567-วันที่ 5 ม.ค.2568 และถึงแม้จะพ้นช่วงการเฉลิมฉลองปีใหม่ที่ทำให้ปัจจัยเสี่ยงเรื่องการดื่มแล้วขับลดลง แต่สิ่งที่ยังคงต้องระมัดระวังคือการใช้ความเร็วในการขับรถ และระยะทางยาวในการขับขี่อาจทำให้ผู้ขับขี่อ่อนเพลียและเกิดการหลับในได้ จึงขอกำชับให้จังหวัดปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ.2568 อย่างเคร่งครัด รวมถึงขอให้จังหวัดบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ติดตามและตรวจสอบข้อมูลการเกิดอุบัติเหตุ การบาดเจ็บและเสียชีวิตให้มีความถูกต้อง เพื่อเตรียมสรุปผลการดำเนินงานของศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนจังหวัดช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ.2568 และถอดบทเรียนจากการทำงานเพื่อนำมาปรับปรุงการดำเนินงานในช่วงเทศกาลสงกรานต์และวันหยุดยาวอื่นๆในปีนี้ต่อไป
...
สำหรับข้อมูลอุบัติเหตุทางถนน วันที่ 4 ม.ค. 2568 เกิดอุบัติเหตุ 169 ครั้ง ผู้บาดเจ็บ 164 คน ผู้เสียชีวิต 23 ราย สาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ขับรถเร็ว ร้อยละ 37.28 ตัดหน้ากระชั้นชิด ร้อยละ 23.67 และทัศนวิสัยไม่ดี ร้อยละ 17.75 ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ รถจักรยานยนต์ ร้อยละ 84.3 จังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ตรัง 11 ครั้ง จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสูงสุด ได้แก่ ตรัง 11 คน จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสูงสุด ได้แก่ ตรัง นครปฐม นราธิวาส และอุตรดิตถ์ จังหวัดละ 2 ราย ส่วนสรุปอุบัติเหตุทางถนนสะสมในช่วง 9 วันของการรณรงค์ 27 ธ.ค.2567- 4 ม.ค.2568 เกิดอุบัติเหตุรวม 2,322 ครั้ง ผู้บาดเจ็บรวม 2,251 คน ผู้เสียชีวิตรวม 393 ราย จังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสุด ได้แก่ สุราษฎร์ธานี 86 ครั้ง จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสะสมสูงสุด ได้แก่ สุราษฎร์ธานี 95 คน จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร 24 ราย
ด้านพันตำรวจตรี สุริยา สิงหกมล อธิบดีกรมคุมประพฤติ เปิดเผยสถิติคดีคุมประพฤติช่วงปีใหม่ 2568 โดยวันที่ 4 ม.ค.มีคดีที่เข้าสู่กระบวนการคุมประพฤติรวมทั้งสิ้น 410 คดี โดยเป็นคดีขับรถขณะเมาสุรา 374 คดี และคดีขับเสพ 36 คดี สรุปยอดสะสม 9 วันที่มีการควบคุมเข้มงวด มีคดีคุมประพฤติรวม 7,647 คดี ยอดติดอุปกรณ์ EM สะสม 44 ราย ดังนี้ คดีขับรถขณะเมาสุรา 7,301 คดี คิดเป็น ร้อยละ 95.47 ติด EM 41 ราย คดีขับเสพ 340 คดี คิดเป็นร้อยละ 4.45 ติด EM 3 ราย คดีขับรถประมาท 4 คดี คิดเป็นร้อยละ 0.05 คดีขับรถเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด 2 คดี คิดเป็นร้อยละ 0.03 จังหวัดที่มียอดสะสมคดีขับรถขณะเมาสุราสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร 605 คดี เชียงใหม่ 441 คดี และนนทบุรี 395 คดี
ส่วนบรรยากาศในถนนสายหลักและสายรอง ที่มุ่งหน้าเข้าสู่ กทม. ผู้สื่อข่าวรายงานว่าตั้งแต่ช่วงสายวันที่ 5 ม.ค. การจราจรบนถนนหลายสายเริ่มคลี่คลาย ขณะที่บนถนนมิตรภาพขาเข้า ช่วง อ.ปากช่อง จ.นคร ราชสีมา มีปริมาณยวดยานหนาแน่น ตั้งแต่ กม.65 หน้าศูนย์พักพิงสุนัขนครชัยบุรินทร์ ต.หนองสาหร่าย อ.ปากช่อง ซึ่งเป็นทางออกจากถนนมอเตอร์เวย์ M6 มาบรรจบกับถนนมิตรภาพสายหลัก ส่งผลให้รถเคลื่อนตัวได้อย่างช้าๆ สลับหยุดนิ่งบางช่วง มาจนถึงสะพานต่างระดับเข้าเขาใหญ่ จนขึ้นมอบันไดม้า ต.หนองน้ำแดง อ.ปากช่อง กม.56-57 รถเต็มทุกช่องทาง รวม 4 ช่องทาง เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงนครราชสีมา ต้องเปิดช่องทางพิเศษวิ่งย้อนศรเพิ่มขึ้นอีก 1 ช่องทาง ระบายรถไม่ให้รถติดสะสม
มาก ตั้งแต่ กม.67 หน้า สภ.หนองสาหร่าย มาเข้า กม.61 ระยะทาง 6 กม. และที่ กม.54 ทางขึ้นมอบันไดม้า มาเข้า กม.47 บ้านปางอโศก ต.กลางดง อ.ปากช่อง โดยประเมินว่าตั้งแต่ช่วงบ่ายไปถึงค่ำ จะมีปริมาณยวดยานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะเป็นวันสุดท้ายของการหยุดต่อเนื่องในช่วงปีใหม่ ทำให้ต้องเดินทางกลับเข้ากรุง เพื่อมาทำงานตามปกติในวันที่ 6 ม.ค.
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่