ใกล้เป็นจริงมากขึ้นทุกที “บ่อนกาสิโนถูกกฎหมายในไทย” นับตั้งแต่ ครม.รับหลักการรายงาน กมธ.วิสามัญพิจารณาศึกษาการเปิดสถานบันเทิงแบบครบวงจร (Entertainment Complex) เมื่อวันที่ 9 เม.ย.2567 แล้วมอบหมายให้กระทรวงการคลังศึกษาความเป็นไปได้นำกลับมาเสนออีกครั้ง
ล่าสุดก็มีข่าวว่า “รัฐบาล” พยายามเร่งให้คณะทำงานศึกษาออกกฎหมาย “ยกร่าง พ.ร.บ.ประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ.” เสนอสภาผู้แทนราษฎรประกาศใช้เป็นกฎหมายโดยเร็ว “เพื่อเปิดประมูลใบอนุญาตลงทุนโครงการฯ” ต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2571 หวังกระตุ้นเศรษฐกิจนำเม็ดเงินเข้าประเทศ
ถ้าดูตามรายงาน กมธ.ศึกษาเปิดสถานบันเทิงฯวางแนวพื้นที่จัดตั้งห่างจากสนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง อู่ตะเภา รัศมีไม่เกิน 100 กม. ครอบคลุม 17 จังหวัด ภาคกลาง ภาคตะวันออก รวมถึงจังหวัดท่องเที่ยวหลัก 22 จังหวัดและพื้นที่ตามแนวชายแดน 22 จังหวัด กำหนดการประมูลใบอนุญาตไว้ 20 ปี แล้วต่อได้คราวละไม่เกิน 5 ปี
...
ทำให้ที่ดินบางส่วนที่คาดว่าจะตั้งบ่อนกาสิโนก็มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นในเรื่องนี้ ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส บอกว่า
จริงๆแล้ว “ประเทศไทย” แม้ว่าจะไม่มีบ่อนถูกกฎหมายแต่ก็เป็นที่ทราบดีว่ามีบ่อนเถื่อนอยู่ทั่วทุกหัวระแหง “แถมถูกรายล้อมด้วยบ่อนประเทศเพื่อนบ้านเต็มไปหมด” เช่นนี้การมีกาสิโนก็เพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศ
คิดง่ายๆหากเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ใช้พื้นที่ขนาด 10-30 ล้านตารางเมตร เงินลงทุนอยู่ที่ 2.8 แสนล้านบาท มีการจ้างงาน 3 แสนคน และใช้เวลาก่อสร้าง 5-10 ปี จะสร้างงานในพื้นที่ได้อีก 2-3 แสนคน ดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ 20 ล้านคน/ปี น่าจะจัดเก็บภาษีได้ 60,000-80,000 ล้านบาท ก่อให้เกิดรายได้ของประเทศ
ส่วนกรณีกรมสรรพสามิตประเมินการเปิดสถานบันเทิงครบวงจรที่มีกาสิโนจะสร้างรายได้ขั้นต่ำ 10% หรือ 1.2 หมื่นล้านบาท “เป็นการประเมินน้อยเกินจริง” เพราะรายได้กาสิโนในหลายประเทศมีมากกว่านี้มหาศาล
เพราะด้วยเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ “มิได้มีเฉพาะกาสิโน” แต่ภายในยังมีกิจการโรงแรม ศูนย์การค้า สวนสนุก ที่อยู่อาศัย ศูนย์กลางการพาณิชย์ หรืออื่นอีกมาก อย่างกรณีศึกษาในลาสเวกัสรายได้จากบ่อน 1.5 แสนล้านบาท รายได้จากค่าที่พัก 9.3 หมื่นล้านบาท และค่าอาหารเครื่องดื่มอีก 8.7 หมื่นล้านบาท
ไม่เท่านั้น “ธุรกิจกาสิโน” ยังเป็นปัจจัยสำคัญในการปราบปรามการทุจริต และประพฤติมิชอบ “สามารถดูแลควบคุมป้องกันปัญหาอาชญากรรม” จากการทะลายขุมทรัพย์ผู้มีอิทธิพลที่ทำธุรกิจผิดกฎหมายได้ด้วยซ้ำ แล้วมีคำถามว่าการมีบ่อนกาสิโนจะทำให้เกิดปัญหาอาชญากรรมเพิ่มขึ้นหรือไม่
ในเรื่องนี้ดูได้จาก “ประเทศมีกาสิโน” อย่างฮ่องกงเกิดปัญหาอาชญากรรม 0.2% สิงคโปร์ 0.3% มาเก๊า 0.7% ส่วนมาเลเซีย 2.3% แต่ประเทศไทยไม่มีกาสิโนกลับมีอัตราสูงถึง 4.8% หรืออินโดนีเซียมีอัตราสูงถึง 8.1%
ถัดมาประเด็นตอนนี้ “มีกระแสการเก็งกำไรที่ดินจุดคาดว่าจะตั้งกาสิโน” เท่าที่ทราบบางพื้นที่ถูกบรรดาผู้มีอิทธิพล หรือนักการเมืองกว้านซื้อกันไว้แล้ว และพยายามผลักดันเสนอให้โครงการเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์เข้ามาก่อสร้างบนที่ดินตัวเองจน “ราคาที่ดิน” ก็มีแนวโน้มปรับตัว จากเดิมเคยเป็นท้องไร่ท้องนาก็มีมูลค่าสูงขึ้น
แล้วเท่าที่ทราบ “ราคาที่ดินสูงขึ้นเท่าตัว” เพราะการทำกาสิโนมีผลตอบแทนสูงมากอย่างเช่นพื้นที่ที่คาดว่าจะเป็นแนวดำเนินกิจการกาสิโน “เดิมเคยเป็นทุ่งนาก็มีแนวโน้มสูงขึ้นไร่ละ 1 ล้านบาท” หากเป็นจังหวัดท่องเที่ยวอย่างพัทยา จ.ชลบุรี จ.เชียงใหม่ จ.ภูเก็ต จ.พังงา มีแนวโน้มปรับขึ้นเป็นตารางวาละ 2 ล้านบาท
...
แต่ในแง่มุม “การลงทุนต่างจังหวัด” คงต้องวิเคราะห์ความเป็นไปได้ด้วย เพราะหากไม่ใช่จังหวัดท่องเที่ยวสำคัญอาจประสบความสำเร็จได้ยาก ด้วยการทำเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ต้องลงทุนเป็นหมื่นล้านบาท “ส่งผลให้นักลงทุนสุ่มเสี่ยงเกินไป” อย่างกรณีเมืองชายแดนเมื่อในประเทศมีกาสิโนครอบคลุมหลายจังหวัดแล้ว
ดังนั้นก็ไม่จำเป็นต้องมีเพิ่มขึ้น เพราะอาจจะเป็นการไปประชันกาสิโนในประเทศเพื่อนบ้าน
ต่อมาถ้าหาก “ประเทศไทยต้องมีกาสิโนถูกกฎหมายจริงๆ” อยากเสนอให้ใช้เรือสำราญเป็นแหล่งรวมกิจกรรมกาสิโน หรือแหล่งรวมกิจการโรงแรม หรือศูนย์กลางการพาณิชย์ “ไม่จำเป็นต้องสร้างเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ขึ้นมาใหม่” ด้วยการลอยเรือในอ่าวไทยห่างจากฝั่งกรุงเทพฯ พัทยา จ.ชลบุรี หรือ จ.ระยอง
แล้วใช้เรือเร็วขนาดเล็กวิ่งให้บริการรับ-ส่งจากท่าเรือใช้เวลาไม่เกิน 20-30 นาที สิ่งนี้จะลงทุนถูกกว่าการทำเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์บนบก เพราะลดค่าใช้จ่ายไม่ต้องซื้อที่ดินราคาสูงมาก่อสร้างด้วยซ้ำ
ย้ำต่อว่า “เรือสำราญกาสิโน” ยังช่วยลดผลกระทบต่อระบบนิเวศจากการปรับปรุงพื้นที่โดยรอบในก่อสร้าง “ทำลายป่า” สำหรับใช้พื้นที่ขนาดใหญ่ในการประกอบกิจการสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ทั้งช่วยลดปัญหามลภาวะทางเสียงรบกวนจาก “การแสดงดนตรี” การเปิดเพลงเสียงดังของสถานบันเทิง
เหล่านี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อ “การพักผ่อน และความปลอดภัยของประชาชน” เนื่องจากกิจกรรมกาสิโนถูกจัดขึ้นบนเรือสำราญที่ลอยอยู่กลางทะเลอ่าวไทยห่างออกจากชายฝั่งหลายสิบกิโลเมตรยิ่งกว่านั้นยังช่วยคัดกรอง “บุคคลเข้าเล่นพนัน” ด้วยการตรวจคุณสมบัติผู้ลงทะเบียนลงเรือลำเลียงไปส่งขึ้น “เรือสำราญ” เพื่อป้องกันเด็กต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์ หรือคนต้องห้ามลักลอบใช้บริการได้
...
ทว่าหาก “ต้องการเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์บนบก” ก็เสนอให้กำหนดเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษลักษณะเมืองปิดล้อม “มิเช่นนั้นจะเกิดการขยายตัวของเมืองแบบไม่มีวันสิ้นสุด” เพราะการสร้างคอมเพล็กซ์บนบก “ต้องใช้พื้นที่ขนาดใหญ่” ในการปรับสภาพแวดล้อมในการก่อสร้างแน่นอน
ทั้งยังก่อมลภาวะจาก “สิ่งปฏิกูลมูลฝอยปนเปื้อน” สำหรับใช้อุปโภคบริโภค และอาจมีปัญหาเสียงรบกวนหรือการรวมกลุ่มมั่วสุม “ดังนั้นควรตั้งเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษปิดล้อม” ในการทำถนนทางด่วน หรือรถไฟฟ้าเข้า-ออกโดยตรง เพื่อป้องกันปัญหาเด็ก-เยาวชนเข้าไปเกี่ยวข้องกับการพนัน หรือการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้น
ด้วยการนำที่ราชพัสดุที่มีอยู่จำนวนมากมา “พัฒนาเป็นในเชิงพาณิชย์” เพราะหากสมมติว่ามีพื้นที่รวมกัน 1 หมื่นไร่ ราคาตลาดเฉลี่ยตารางวาละ 3 แสนบาท หรือไร่ละ 800 ล้านบาท ก็เป็นเงิน 1.2 ล้านล้านบาท ถ้าเช่า 30 ปี ไปพัฒนาในอัตราค่าเช่า 35% ของราคาตลาดก็จะได้รายได้เข้าหลวงถึง 4.2 แสนล้านบาท
ส่วนรายได้จาก “ภาษีที่ดินต้องปรับใหม่” ด้วยการเก็บดังในต่างประเทศร้อยละ 1 “มิใช่เก็บร้อยละ 0.02 อย่างทุกวันนี้” แล้วคุณสมบัติผู้ประกอบการที่จะจัดตั้งกาสิโนต้องเป็นนิติบุคคลจดทะเบียนในไทย สิ่งสำคัญหากทำไม่ไหวต้องระบุชัดสามารถยกเลิกสัญญาให้รายอื่นมาทำต่อได้ เพื่อไม่ปล่อยทิ้งร้างเหมือนหลายโครงการที่เห็นกัน
...
ในส่วน “มาตรการป้องกัน” เมื่อมีกาสิโนถูกกฎหมายแล้ว “ตั้งหน่วยงานเฉพาะ” ในการกำหนดควบคุมผู้เล่น เช่น อายุ กำหนดรายได้ผู้ที่เข้าไปเล่นได้โดยไม่เดือดร้อน หรือผู้เล่นต่างชาติต้องมีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน อย่างสิงคโปร์ผู้เล่นต้องมีอายุ 21 ปีขึ้นไปจะเสียค่าเข้ากาสิโน 2,500 บาทต่อวัน และคนต่างชาติไม่ต้องเสียค่าเข้า
จึงสังเกตได้ว่าประชาชนอยู่ตามเมืองบ่อนพนัน “ไม่ได้ติดการพนันกันงอมแงมดังเราเข้าใจ” แม้จะอยู่ใกล้บ่อนก็ตามแต่ผู้คนกลับเรียนรู้มีภูมิคุ้มกันด้วยตัวเอง “แต่หากไม่มั่นใจผู้บังคับใช้กฎหมาย” ก็สามารถว่าจ้างองค์กรต่างชาติเป็นเอาต์ซอร์ซเข้ามาเป็นผู้ปฏิบัติงานภายใต้การกำกับควบคุมของเจ้าหน้าที่รัฐไทยก็ได้
เป็นอีกมุมข้อเสนอจาก “การประกอบธุรกิจสถานบันเทิง หรือกาสิโน” ในการทำให้ธุรกิจบาปกลายเป็นธุรกิจสีขาว เพื่อหวังเม็ดเงินนำมาเป็นรายได้เข้ารัฐใช้ขับเคลื่อนให้เกิดการพัฒนาประเทศ.
คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม