กฎกระทรวงเก็บค่าใช้น้ำสาธารณะมีผลบังคับใช้แล้ว เมื่อ 25 มกราคมที่ผ่านมา โดยกำหนดลักษณะการใช้น้ำไว้ 3 ประเภท
1.การใช้น้ำประเภทที่หนึ่ง ใช้ทรัพยากรน้ำสาธารณะเพื่อการดำรงชีพ การอุปโภคบริโภคในครัวเรือน การเกษตรหรือการเลี้ยงสัตว์ การอุตสาหกรรมในครัวเรือน
2.การใช้น้ำประเภทที่สอง ใช้ทรัพยากรน้ำสาธารณะเพื่อการอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว การผลิตพลังงานไฟฟ้า การประปาและกิจการอื่น
3.การใช้น้ำประเภทที่สาม เป็นการใช้ทรัพยากรน้ำสาธารณะเพื่อกิจการขนาดใหญ่ที่ใช้น้ำ ปริมาณมาก หรืออาจก่อให้เกิดผลกระทบข้ามลุ่มน้ำ หรือครอบคลุมพื้นที่อย่างกว้างขวาง
การใช้น้ำประเภทที่หนึ่ง ซึ่งเป็นการใช้น้ำของคนส่วนใหญ่ในประเทศ ไม่ต้องขอรับใบอนุญาตและไม่ต้องชำระค่าใช้น้ำ แต่ผู้ใช้น้ำจะต้องให้ข้อมูลแก่หน่วยงานของรัฐหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อจะได้รวบรวมจัดส่งให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) นำไปวิเคราะห์ความต้องการใช้น้ำในภาพรวม
ดังนั้น เกษตรกรที่ปลูกพืชต่างๆ หรือแม้กระทั่งการทำนาปลูกข้าว การเลี้ยงสัตว์เพื่อยังชีพ จะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ยกเว้นการใช้น้ำบาดาลตามกฎหมายว่าด้วยน้ำบาดาล ยังคงต้องยื่นคำขอรับใบอนุญาตใช้น้ำบาดาล และบางกิจการที่ใช้น้ำบาดาลอาจต้องชำระค่าใช้น้ำบาดาลด้วย เพราะที่ผ่านมาก็มีการชำระค่าใช้น้ำบาดาลอยู่แล้ว
ส่วนการใช้น้ำประเภทที่สองและประเภทที่สาม จะต้องยื่นคำขอรับใบอนุญาตพร้อม “แผนบริหารจัดการน้ำ” ต่ออธิบดีกรมชลประทาน อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ หรืออธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล แล้วแต่กรณีว่าทรัพยากรน้ำที่ใช้นั้น หน่วยงานไหนรับผิดชอบในทุกๆ 5 ปี
แต่ยกเว้นค่าใช้น้ำในบางกิจการเช่นกัน เช่น การผลิตน้ำเพื่อให้บริการด้านอุปโภคบริโภคแก่ประชาชนของหน่วยงานรัฐที่ไม่ใช่รัฐวิสาหกิจ เฉพาะกรณีที่มีกำลังการผลิตไม่เกิน 30 ลบ.ม.ต่อชั่วโมง การผลิตน้ำดื่มในโรงเรียน การใช้น้ำในโรงพยาบาล เป็นต้น ดังนั้น ประปาหมู่บ้านที่ให้บริการประชาชนที่อยู่ในต่างจังหวัดหรือประปาภูเขา ที่ผลิตน้ำประปาให้บริการโดยไม่ได้แสวงหากำไร จะได้รับยกเว้นไม่ต้องจ่ายค่าใช้น้ำ.
...
สะ-เล-เต
คลิกอ่าน "หน้ามองฟ้า เท้าหยั่งดิน" เพิ่มเติม