เหตุการณ์เลวร้ายที่ผ่านมาตลอดปี 2566 “กำลังผลัดเปลี่ยนเข้าสู่ศักราชใหม่” แม้แต่ดวงดาวบนท้องฟ้าที่มีความเกี่ยวพันแนบแน่นกับ “ดวงเมืองประเทศไทย” ก็เริ่มโคจรเคลื่อนย้ายเปลี่ยนราศี อันมีความสำคัญทางด้านโหราศาสตร์ในการทำนายพยากรณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ทำให้ช่วงปีใหม่นี้ “เหล่าบรรดาโหราจารย์ชื่อดังของไทย” ต่างออกมา ทำนายทายทักการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์บ้านเมืองตามโหราศาสตร์ “ดวงเมือง ปี 2567” เปล่งประกายสะท้อนความเจริญรุ่งเรือง การค้าขายดี สัมพันธไมตรีกับต่างประเทศก้าวหน้า มีสันติสุข ประชาชนมีความผาสุกโดดเด่นเป็นที่น่าจับตาตลอดปี
เสมือนส่งสัญญาณ “ฟ้าหลังฝน” ครั้งแรกนับแต่การเปลี่ยนแปลงการเมืองในรอบ 9 ปี ผ่านการพยากรณ์จาก ภิญโญ พงศ์เจริญ นายกสมาคม โหราศาสตร์นานาชาติ บอกว่า การทำนายดวงเมืองตามโหราศาสตร์จะใช้พระฤกษ์ วางหลักเสาหลักเมืองในวันที่ 21 เม.ย.2325 เวลา 06.54 น. ตรงกับวันอาทิตย์ขึ้น 10 ค่ำ เดือน 6 ปีขาล
เพื่อเป็นเกณฑ์ตั้งแล้วใช้ “ดาวพระเคราะห์” ที่โคจรตามราศีนำมาใช้ในวิชาโหราศาสตร์ เช่น ดาวอาทิตย์ จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัสบดี ศุกร์ เสาร์ และดาวพระราหู ดาวมฤตยู เพื่อพยากรณ์เหตุการณ์ทางการเมืองต่างๆ
สำหรับดาวเมืองปี 2567 “ดาวพฤหัสบดีโคจรอยู่ราศีเมษเป็นภพที่ 1 ของดวงเมือง” ตามตำราบอกไว้ว่าประเทศไทยจะมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง มีความผาสุก การค้าการขายดี และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมีความก้าวหน้าสันติสุข ส่วนศาสนาจะทรงอิทธิพลขยายออกไปแพร่หลาย ส่งผลให้ กิจการการกุศลเจริญก้าวหน้าเช่นกัน
เว้นแต่บางช่วง “ดาวพฤหัสสัมพันธ์ดาวอังคารอันเป็นเทพเจ้าแห่งสงคราม” จะส่งผลให้การเจรจามีแนวโน้มในทิศทางความขัดแย้ง “บางครั้ง รุนแรงจนเกิดการปะทะ” ทั้งทำให้ต้องมีการใช้จ่ายสูง แต่ด้วยดาวพฤหัสเป็นประธานของฝ่ายศุภเคราะห์ ตัวแทนคุณธรรมความดีก็จะช่วยให้สามารถผ่านอุปสรรคนั้นไปได้
...
ประการสำคัญคือ “ดวงเมืองปี 2567” กำลังก้าวย่างครบรอบ 242 ปี ส่งผลให้ดาวพฤหัสเป็นกาลกิณีจรตั้งแต่วันที่ 21 เม.ย.2566-21 เม.ย.2567 ทำให้ช่วงที่ผ่านมาเกิดความรุนแรงหรือความยุ่งยากเกี่ยวกับนักกฎหมายทนาย ผู้พิพากษา แพทย์ ผู้คุ้มครอง ผู้หลักผู้ใหญ่ ทั้งโรงเรียน มหาวิทยาลัย โรงพยาบาล รัฐสภา และศาล
อันเป็นลักษณะ “การใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือห้ำหั่นทำลายล้างต่อกัน” ทั้งยังใช้กฎหมายในการชิงไหวชิงพริบช่วงชิงอำนาจผลประโยชน์ที่เรียกว่า “นิติสงคราม” เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามเกิดความเสียหายอ่อนแอลง
สังเกตในปี 2566 “การเลือกตั้ง” มีความวุ่นวายทั้งการร้องเรียนฝ่ายตรงข้าม หรือการฟ้องร้องคดีต่อกันมากมาย แต่ด้วยภาพเดิมดาวพฤหัสเป็นเทพกุมกับพระราหูที่เป็นจอมมารอยู่ในราศีเมษ และดาวเสาร์โคจรเข้ามา สัมพันธ์ใกล้ชิดด้วย เมื่อจอมเทพและจอมมารผสมกลมกลืนบวกกับดาวเสาร์ส่งกระแสถึงกันแล้วด้วย
มักเกิดปรากฏการณ์ที่ว่า “พฤหัสเสาร์เสาร์ราหูได้คู่ชิด มักแผกผิดพรากคู่ดูน่าขัน กลับเอาทาสชาติชู้ขึ้นชูชัน ถ้าอยู่สิงห์กุมภ์กันย์กักขฬา” การจัดตั้งรัฐบาล จึงออกมาเป็นแบบผสมฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลอำนาจเก่า
ถัดมาในวันที่ 30 เม.ย.2567 “ดาวพฤหัสบดีจะโคจรมาอยู่ในตำแหน่งราศีพฤษภ หรือราศีเรือนเศรษฐี การเงิน การคลัง” อันจะส่งผลอำนวยความโชคดีทางด้านการเงิน การคลัง เศรษฐีทรัพย์ทั้งหมดของประเทศ รวมถึงการค้าขายเจริญรุ่งเรือง สามารถเก็บภาษีอากรเพิ่มขึ้น และประชาชนคนรากหญ้าส่วนใหญ่จะเสียภาษีน้อยลง
เพราะด้วย “อานิสงส์จากดาวพฤหัส” ที่จะสามารถจัดเก็บภาษีส่วนอื่น ได้มาก เช่น ภาษีการส่งออก ชาวต่างชาตินักลงทุนหลั่งไหลเข้าประเทศ หรือเก็บจากคนรวยได้ดี ทำให้คนรากหญ้ารับอานิสงส์จ่ายภาษีน้อยนี้
อย่างไรก็ดี แม้ว่า “เศรษฐกิจพลิกฟื้นที่ดีขึ้น” แต่จะมีความยุ่งยากตามดาวเคราะห์หมุนเวียนเข้ามาเบียดบังเหมือนเมื่อครั้งอยู่ในภพที่ 1 เช่น “ดาวอังคารเบียด” แสดงถึงการใช้จ่ายสูงโดยเฉพาะเกี่ยวกับกิจการกองทัพ หรือกองกำลังต่างๆ ถ้าหาก “ดาวเสาร์เบียด” มักเกิดความคับขัน ล้มเหลว สูญเสียการเงิน สถาบันการเงิน ตลาดหุ้น
ไม่เท่านั้น “ดาวพฤหัสโคจรอยู่ราศีพฤษภยังกุมดาวมฤตยูที่โคจรมารออยู่ก่อนหน้านั้น” ทำให้เกิดการผสมกลมกลืนท่านเรียกว่า “พฤหัสบดีมฤตยูครูวิเศษ” การใช้ความรู้ กลวิธีใหม่ๆจะเข้ามาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับ การเงิน การธนาคาร และมีระเบียบวิธีการพัฒนาระบบเงินตราของประเทศ
...
กลายเป็นการปริวรรตเงินตรา “การใช้จ่ายเปลี่ยนไปจากเดิมสู่รูปแบบใหม่” ด้วยการพัฒนา ระเบียบวิธีการ และกฎหมายทางการเงิน ทำให้เป็นปีที่มีกฎหมายเกี่ยวกับระบบการเงินเข้าสภาฯพิจารณาหลายฉบับ
กระทั่งเกิดความขลุกขลักแข่งขันกันค่อนข้างรุนแรง แต่ในทางโหราศาสตร์ “มฤตยู” ถูกกำหนดเป็นอากาศธาตุ “ดาวพฤหัสและราศีพฤษภ” เป็นดาวธาตุดิน แล้วมฤตยูก็มาจากภพลาภะที่แปลว่า “รายได้” ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์เงินเฟื้อรุนแรงตั้งแต่เดือน พ.ค.2567 จนกว่าดาวพฤหัสจะโคจร ไปราศีเมถุนวันที่ 13 พ.ค.2568
ถัดมาในส่วน “ดาวเสาร์” ปกติใช้เวลาโคจรไปแต่ละราศี 2 ปีครึ่ง ดังนั้น ตอนนี้โคจรอยู่ราศีกุมภ์ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.2566-19 พ.ค.2568 ตรงจุดนี้ เป็นมูลเกษตรดั้งเดิม และเป็นมาตรฐานที่สร้างความมั่นคงให้ดาวเสาร์
อีกทั้ง “ดาวเสาร์เป็นเจ้าเรือนกัมมะ” อันหมายถึงการบริหารราชการแผ่นดิน ผู้ใช้อำนาจ เช่น นายกรัฐมนตรี ครม. และผู้ปกครองอื่นๆ “เมื่อดาวเสาร์โคจร เข้าสู่ภพ 11 อ่านกันว่ากัมมะลาภะ” ทำให้การบริหารราชการแผ่นดินที่เคยทำไว้ ในรัฐบาลชุดก่อน อันจะส่งผลให้ประสบความสำเร็จและมีลาภผลประโยชน์ที่ดีขึ้น
ด้วยมิตรประเทศจะให้ความช่วยเหลือนั้นก็แสดงว่า “ผลงานรัฐบาลชุดเก่า ที่ทำไว้” จะส่งอานิสงส์ผลดีเป็นรูปธรรมมาในรัฐบาลนี้ ดังนั้นดาวเสาร์โคจร เข้าสู่ภพ 11 ตำรายังบอกอีกว่า “รัฐบาลจะมั่นคง” แม้แต่งานในรัฐสภา ก็จะมี ความก้าวหน้า “เมื่อต้องเผชิญหน้ากับฝ่ายค้านอย่างหนัก” แต่ความสำเร็จ ก็ยังจะมียิ่งๆขึ้นไป
ยิ่งได้รับการสนับสนุนจากดาวอาทิตย์ ดาวมฤตยู ดาวพฤหัส ดาวศุกร์ ดาวจันทร์ จะส่งผลให้ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ หรือที่เกี่ยวกับการเงินดำเนินไปได้ อย่างน่าพึงพอใจ เพราะภพที่ 11 เป็นรัฐสภา กฎหมาย หรือการกำหนดนโยบายประเทศชาติ บวกกับดาวเสาร์เป็นเจ้าเรือนกัมมะเข้ามาจรอยู่ในภพลาภะหรือภพที่ 11 ส่งผลดีสำเร็จได้
...
ปัญหามีอยู่ในบางช่วงบางตอน “อาทิตย์กุมศุกร์ในราศีสิงห์” แล้วตั้งมุมเล็งหา “ดาวเสาร์” แต่ด้วยดาวศุกร์เป็นเจ้าเรือนการเงิน การคลังเป็นเสี้ยนศัตรูกับดาวเสาร์ ทำให้ดาวศุกร์อาจจะดับและดาวเสาร์เพ็ญเข้าใกล้โลก ในระหว่างวันที่ 17 ส.ค.-17 ก.ย.2567 การที่ดาวเสาร์โคจรเข้ามาใกล้โลกนี้จะส่งพลังได้ค่อนข้างรุนแรง
เช่นนี้ก็จะเกิดปัญหา “ขลุกขลักเรื่องการเงิน การคลัง หรืองบประมาณต่างๆ” ถ้าโชคเกณฑ์ร้ายกับบาปพระเคราะห์จะมีผลให้การบัญญัติกฎหมายการเงินชะงัก ชักช้า เกิดภัยจากคะแนนเสียงข้างมาก สร้างความเสียหายต่อ พ.ร.บ.บางฉบับจนเกิดความไม่พอใจภายในพรรคการเมือง เกิดปัญหายุ่งยากโดยเฉพาะกฎหมายการเงิน
พระเคราะห์สำคัญถัดมา “พระราหู” เปรียบเสมือนโมหะความมัวเมาลุ่มหลง แล้วช่วงที่ผ่านมาโคจรอยู่ราศีพฤษภในภพที่ 2 เรียก “ราหูค้นทรัพย์” และย้ายมาอยู่ในราศีเมษภพที่ 1 เรียกว่า “ราหูพ้นตัว” เช่นนี้ในช่วง 3-4 ปีมานี้ ประเทศเผชิญราหูค้นทรัพย์และราหูพ้นตัว ค้นทรัพย์ออกมาใช้จ่ายมากจนต้องกู้เงินในสมัยรัฐบาลชุดก่อน
ส่งผลร้ายต่อการเงินการคลังและความเป็นอยู่ประชาชน ต่อมาวันที่ 17 ต.ค.2566 “ราหู” ก็ย้ายเข้ามาอยู่ “ราศีมีน” ที่จะอยู่ตรงนี้ไปถึงวันที่ 5 พ.ค.2568 เป็นการออกจากลัคนาเมือง และออกจากพระอาทิตย์ในดวงเมือง
ทำให้ความมืดที่ครอบงำดวงเมืองค่อยๆจางหายไป “น่าจะส่งผลดี” แต่ด้วยเหตุที่ “ราหู” มักให้โทษกับดวงเมือง ทำร้ายมานานหลายปี “ดวงเมือง ค่อนข้างสะบักสะบอม” จำเป็นต้องใช้เวลาในการปรับฟื้นตัวอยู่ไม่น้อย
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งจาก “การทำนายดวงเมืองด้านเศรษฐกิจปี 2567” ที่มีแนวโน้มในทิศทางที่ดีกว่าเดิม “ประชาชนอยู่อย่างผาสุก มีโอกาสลืมตา อ้าปากดีขึ้น” แต่สิ่งนี้ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยทางการเมืองของประเทศร่วมด้วย “อันยังมีประเด็นต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ” ที่คงต้องติดตามอย่างใกล้ชิดกันต่อ...
...
คลิกอ่านคอลัมน์ "สกู๊ปหน้า 1" เพิ่มเติม