เอกอัครราชทูตอิสราเอล ประจำประเทศไทย เผยถึงภารกิจการช่วยเหลือตัวประกัน พร้อมให้คำมั่น จะดูแลแรงงานไทย-ชาวต่างชาติ ให้เทียบเท่ากับพลเรือนอิสราเอลทุกประการ

วันที่ 11 ต.ค. 2566 ใน "NewsRoom" รายการทอล์กคุยข่าวใหญ่ ทางไทยรัฐออนไลน์ ดำเนินรายการโดย คิงส์ พีระวัฒน์ อัฐนาค กาย พงศ์เกษม สัตยาประเสริฐ และมิ้นท์ อรชพร ชลาดล วันนี้เป็นการพูดคุยกันในภารกิจช่วยคนไทยในอิสราเอล

เกี่ยวกับเรื่องนี้ คุณออร์นา ซากิฟ เอกอัครราชทูตอิสราเอล ประจำประเทศไทย ได้เผยถึงภารกิจช่วยเหลือแรงงานไทย ที่ถูกจับเป็นตัวประกัน ระบุว่า อยากจะอธิบายให้เข้าใจก่อนว่า ประเทศอิสราเอลก็เพิ่งก่อตั้งขึ้นมาในปี 1948 หลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง และก็ผ่านการทำสงครามมากมาย แล้วเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันเสาร์ที่ผ่านมา เป็นเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน สิ่งที่กลุ่มฮามาสทำ คือการกระทำที่ป่าเถื่อนโหดร้ายกว่ามนุษย์ด้วยซ้ำ ในการโจมตีแบบนี้ มันไม่ใช่ภาวะปกติของอิสราเอล เป็นภาวะของสงคราม 

ตอนนี้สิ่งที่อิสราเอลทำได้ คือต้องควบคุมสถานการณ์ เรื่องของตัวประกัน ทางสถานทูตเองก็เข้าใจ เพราะมีหลายประเทศที่ถูกจับเป็นตัวประกัน ของอิสราเอลเองก็ถูกจับไปประมาณ 200 คน ขณะที่คนไทยก็ถูกจับไป 11 คน และมีหลายเชื้อชาติ เข้าใจว่าทุกคนเป็นห่วง แต่ตอนนี้ตนเองก็ไม่มีข้อมูลว่าตัวประกันอยู่ในสถานการณ์แบบไหน เพราะอย่างในอิสราเองก็มี ผู้บาดเจ็บพุ่งไป 1,200 รายแล้ว ถ้าสถานการณ์มันดีขึ้นกว่านี่น่าจะให้คำตอบเรื่องของตัวประกันได้

...

ณ ตอนนี้ ตัวประกันของไทย 11 คน อยู่ในมือของฮามาส ต่อให้อยากบอกข้อมูลแค่ไหน ก็บอกไม่ได้ เพราะฮามาสจับตัวไป ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ผู้ที่ต้องรับผิดชอบคือกลุ่มฮามาส เพราะจับคนไปเป็นเหยื่อในสงครามครั้งนี้ ตอนนี้ทางการอิสราเอล ก็พยายามเต็มที่ เพื่อทำให้ทุกอย่างดีขึ้น ซึ่งตอนนี้ที่อิสราเอลเองก็วุ่นวายเช่นเดียวกันในภาวะสงครามนี้

ขณะที่ฮามาสได้รับการสนับสนุนเรื่องเงิน ยุทโธปกรณ์ จากอิหร่านเหมือนกัน จึงต้องยอมรับว่า เป็นกองกำลังที่แข็งแกร่ง ฉะนั้นควรอยู่ให้ห่างจากบริเวณเหนือ หรือใต้ให้ได้มากที่สุด เพราะตอนนี้ไม่ใช่ว่าอิสราเอลไม่ทำอะไรเลย ไม่ใช่ว่ากองทัพไม่แข็งแกร่ง แต่เรากำลังสู้กับศึกรอบด้าน 

เมื่อถามว่า ตอนนี้ทางเหนือหรือทางใต้ก็อันตราย ตอนนี้มีที่ไหนปลอดภัยบ้าง ท่านทูตตอบว่า ประเทศอิสราเอลไม่ใช่ประเทศที่ใหญ่ ทั้งประเทศมีคนอยู่ 10 ล้านคน ต้องขอโทษจริงๆ ที่ต้องพูดแบบนี้ แต่สถานการณ์ในตอนนี้ ต้องยอมรับในภาวะสงคราม แต่อิสราเอลเองก็จะไม่ยอมให้กลุ่มก่อการร้ายเหล่านี้ มาทำให้การใช้ชีวิตของประชาชนกลายเป็นภัยสงคราม ตอนนี้พื้นที่สีแดงที่อันตรายจริงๆ คือ ทางตอนเหนือและทางตอนใต้ ส่วนที่อื่นๆ ส่วนใหญ่ค่อนข้างจะปลอดภัย ประชาชนยังคงใช้ชีวิตตามปกติได้ แต่เมื่อได้ยินเสียงไซเรนก็ต้องวิ่งหลบเข้าหลุมหลบภัย

เมื่อถามถึงกรณีที่คนไทยบางส่วน ที่ถูกนายจ้างบอกให้ไปทำงาน ทั้งที่ยังอยู่ในจุดที่ได้ยินเสียงปืนอยู่ คุณออร์นา ซากิฟ เผยว่า ชีวิตมันต้องไปต่อ ถ้ายอมให้การก่อการร้ายครั้งนี้ ทำให้ประเทศหยุดชะงัก ก็แสดงว่าผู้ก่อการร้ายชนะในสงครามครั้งนี้ เข้าใจว่ามันไม่ใช่สถานการณ์ที่ง่าย แต่ชีวิตมันต้องเดินต่อไป ไม่ใช่แค่แรงงานไทยที่ต้องทำงาน ครอบครัวตนเองก็ต้องทำงานกันต่อไป ทุกคนยังต้องทำงาน เพราะถ้ายอมให้ประเทศหยุด ก็เหมือนยอมให้ผู้ก่อการร้ายชนะ

ส่วนในกรณีที่ถามเรื่องของสนามบินยังเปิดอยู่ไหม คุณออร์นา ซากิฟ ยืนยันว่า ยังเปิดอยู่ และอนุญาตให้ไฟลต์ต่างประเทศบินได้ตามปกติ ทั้งนี้ยังฝากยืนยันถึงคนไทยว่า อิสราเอลไม่อยากเข้าสู่สงครามนี้ แต่ถูกบังคับให้เข้าสู่สงคราม แต่สิ่งที่เราสัญญาได้ และยืนยันคือ ชาวอิสราเอล ทหารและกองทัพอิสราเอล จะปฏิบัติต่อแรงงานไทย และชาวต่างชาติเทียบเท่ากับพลเรือนของอิสราเอลทุกประการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเป็นการอพยพ หรือการช่วยเหลือ ให้เสมือนกับเป็นพลเรือนของเราเอง เพราะเข้าใจว่าครอบครัวของคนที่มางานอิสราเอล เป็นห่วงกันมาก 

ขณะที่ คุณก๋วย กรวิชญ์ แก้วเกิด คนไทยในประเทศอิสราเอล ได้เผยว่า ล่าสุดยังมีผวาอยู่บ้าง เพราะผ่านจุดนั้นมา ตอนนี้คนไทยรวมตัวกันอยู่กับตน 10 คน ตอนนี้อยู่ในโซนภาคเหนือ และทุกคนส่งข้อมูลบอกญาติอยู่แล้ว โดยเมื่อสักครู่นี้ มีทางทูตอิสราเอลเข้ามาพูดคุยแล้ว ในเรื่องของสิทธิผู้ตาย และผู้สูญหาย ตอนนี้ก็รอกลับ เพราะแม้จุดที่อยู่จะปลอดภัยแล้ว แต่ก็ยังมีความกังวลอยู่ อย่างเมื่อ 2 วันที่แล้ว ไปยืนที่หน้าโรงแรม เจอชาวอาหรับยกนิ้วให้พร้อมกับพูดไทยแลนด์ พวกตนเองก็ระแวง แล้วรีบกลับขึ้นห้องทันที ในตอนนี้มีคนนึงที่มีอาการเครียดหลังสงคราม 

...

โดยจุดที่อยู่ตอนนี้ ยังไม่ได้ไปทำงาน ต้องรอกลับบ้านอย่างเดียว แต่มีกำลังใจขึ้นแล้ว ส่วนในการการดูแลเรื่องที่พัก และการรักษา ทางนายจ้างเป็นผู้ประสานดูแลทั้งหมด ไม่ขาดเหลืออะไรแล้ว รอแต่กลับอย่างเดียว เมื่อถามถึงสถานการณ์ ที่อิสราเอลตอนนี้ประชาชนก็ยังใช้ชีวิตปกติ คนยังไปทำงานเหมือนเดิม ในเขตปลอดภัยไม่ได้ยินไซเรนอะไรเลย

เมื่อถามถึงสิ่งแรกที่จะทำเมื่อกลับมาที่ไทย คุณก๋วย เผยว่า ตนเองได้สัญญาไว้ว่า จะกลับมาบวช 7 วัน และก็คงจะไม่กลับมาทำงานอีกแล้ว ทางท่านทูตก็บอกว่าในกรณีที่โดนสงคราม ต้องกลับก่อนกำหนด ก็ยังสามารถกลับมาได้อีกได้ หากทางนายจ้างทำเรื่องให้ แต่คิดว่าคงจะไม่กลับไปแล้ว 

ทางด้าน คุณพิศาล นาคแก้ว คนไทยที่ได้อพยพไปอยู่พื้นที่ในประเทศอิสราเอล เผยสถานการณ์ตอนนี้ว่า ตนเองมาจากจุดที่เขาโจมตีกันเลย แต่ตอนที่ย้ายมาแล้วยังไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย ซึ่งในตอนที่นั่งรถบัสมา ก็เห็นว่ามีทหารตั้งค่ายกันอยู่ ตอนนี้อยู่ประมาณ 10 คน เป็นเพื่อนที่ทำงานด้วยกัน

ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดเหตุขึ้น ตนเองก็แจ้งสถานทูตทันที แล้วมีคำตอบว่าให้เอาแค่ตัวเองรอด เพราะตอนนั้นอยู่ในสมรภูมิเลย เขาก็แนะนำว่าห้ามออกไปไหน เพราะเขาไม่สามารถเข้ามาช่วยเหลือเราได้เลย คือเวลานั้นเขาตัดไฟตั้งแต่ทีแรก ต้องประหยัดแบตโทรศัพท์ ในช่วงนั้นวิกฤติมากๆ จะก่อไฟ หรือหุงข้าวไม่ได้เลย 

...

ต่อมา คุณพิศาล ได้เผยถึงข้อมูลของแรงงานไทยอีก 3 คน ที่ยังติดอยู่ในพื้นที่สีแดงว่า พวกเขายังอยู่ในพื้นที่ที่ต้องการการช่วยเหลืออยู่ แต่ติดต่อไม่ได้เพราะวีซ่าหมด แต่เขาก็กำลังติดต่อนายจ้างแล้ว แต่มันเป็นพื้นที่อันตราย นายจ้างก็เข้าไปไม่ได้ ต้องให้ทางทหารเข้าไปช่วยเหลือ ซึ่งในตอนนี้ก็มีคนรับรู้แล้วมีคนติดอยู่ แต่ตนก็ยังคาใจว่าพื้นที่ที่เขาอยู่กันเป็นฟาร์มไก่ ยังมีรถไปรับส่งไข่ไก่ และส่งอาหารไก่ในฟาร์มได้ แต่กลับไม่ช่วยเหลือคนไทยทั้ง 3 คนในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งสถานการณ์ตรงนั้น ก็คือกลางสมรภูมิเลย 

ทั้งนี้ คุณพิศาล ยังเล่าอีกว่า ตอนนั้นตนเองถูกกลุ่มทหารขับรถมอเตอร์ไซค์วิ่งตามมาเลย และตนเองก็ได้ให้ข้อมูลกับทางสถานทูตไปแล้ว เขาก็บอกว่าเอาตัวเองให้รอดก่อน ซึ่งตอนนี้ก็เป็นห่วงคนไทยด้วยกัน เมื่อถามว่าเมื่อเหตุการณ์สงบจะกลับไปทำงานอีกไหม คุณพิศาล บอกว่าคงไม่แล้ว บอกตรงๆ ว่าใครไม่เจออย่างตน คงไม่รู้หรอกในสถานการณ์แบบนั้น ซึ่งวันที่ 9 ธ.ค. นี้ ก็ครบ 3 ปีแล้ว ในตอนนี้ก็ไม่ห่วงแล้วเรื่องเงิน หรืออะไร ขอเอาชีวิตรอดก่อน ตอนนี้พอได้มาอยู่ในที่ปลอดภัย ทางครอบครัวก็ชื่นใจแล้ว และก็ดีใจที่ทางนายจ้างก็ไม่ทิ้งเรา

อย่างไรก็ตาม ติดตาม "NewsRoom" สดทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 18.30-19.30 น. ทางยูทูบไทยรัฐออนไลน์ และเฟซบุ๊กไทยรัฐออนไลน์

...

(ติดตามประเด็น "สงครามอิสราเอล" ได้ที่นี่)