รางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย หรือ Thailand Tourism Awards ครั้งที่ 14 ประจำปี 2566 หรือรางวัลกินรี ที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) มอบให้แก่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทุกๆ 2 ปี เพื่อตอกย้ำเป้าหมายการยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย Sustainable Tourism Goals : STGs สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน (High Value and Sustainability) ในครั้งนี้มีผู้ประกอบการที่ได้รับรางวัล 353 ราย

พร้อมกันนี้ได้มีสาขารางวัลใหม่ประเภทการท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำเพื่อความยั่งยืน (Low Carbon & Sustainability) เพื่อตอกย้ำจุดยืนต่อความมุ่งมั่นสู่เป้าหมายการท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ

รางวัลนี้จะช่วยสร้างจุดเด่นเพิ่มมูลค่าและเพิ่มโอกาสทางการตลาดแก่ผู้ประกอบการในการเข้าถึงนักท่องเที่ยวกลุ่มคุณภาพที่ใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นการสร้างความตระหนักรู้และคุณค่าในด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมแก่ผู้ประกอบการ และนักท่องเที่ยว มีสถานประกอบการได้รับรางวัล 40 ราย ประกอบด้วย รางวัลรางวัลยอดเยี่ยม 5 ราย ได้แก่ ขิงแดง รีสอร์ท จ.กระบี่, สยามเบย์ชอร์ รีสอร์ท พัทยา จ.ชลบุรี, เดอะ ริเวอร์รี บาย กะตะธานี คอลเล็คชั่น จ.เชียงราย, พีชฮิลล์ รีสอร์ท จ.ภูเก็ต และชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชน ตําบลบางกอบัว จ.สมุทรปราการ และรางวัลดีเด่น 13 ราย และเกียรติบัตรรางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย 22 ราย

สถานประกอบการดังกล่าวต้องมีนโยบาย มาตรการ ความคิดริเริ่ม ในการจัดการคาร์บอนต่ำ (Low Carbon) อย่างเป็นรูปธรรม ใส่ใจต่อการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Emergency) สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพ และคำนึงถึงความสมดุลสู่ความยั่งยืน (Sustainability) ใน 3 มิติ ได้แก่ เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคม

คุณเพ็ญโสม นิธิบุญญาพันธ์ ผู้จัดการแผนกทรัพยากรบุคคลประจำภูมิภาค สยามเบย์ชอร์ รีสอร์ท พัทยา จ.ชลบุรี โรงแรมในเครือสุโกศล เล่าให้ฟังว่า สยามเบย์ชอร์เข้าร่วมโครงการด้านสิ่งแวดล้อมประหยัดพลังงาน มาตั้งแต่ปี 2545 มาถึงตอนนี้มากกว่า 20 ปี ได้สมัครเข้าร่วมโครงการใบไม้เขียวตั้งแต่เริ่มต้น และนำหลักเกณฑ์ต่างๆ มาดำเนินงานอย่างจริงจัง มีการคัดแยกขยะ และเข้าร่วมโครงการประหยัดพลังงานกับหน่วยงานภาครัฐ

ขณะที่ผู้บริหารให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ มีการกำหนดนโยบายอย่างชัดเจนให้พนักงานทุกคนมีส่วนร่วมจัดการด้านสิ่งแวดล้อมเสมือนเป็นกิจวัตรประจำวัน ภายใต้แนวทาง rethink, reuse, reduce,recycle มีการสมัครเข้าร่วมโครงการประกวดต่างๆ เช่น Green Hotel, Asean Green Hotel และปัจจุบันกำลังจะก้าวไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ให้ความสำคัญกับสินค้าและบริการตลอดทั้งวงจรชีวิต ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบ การขนส่ง การให้บริการ การตลาด การใช้งาน และการกำจัดเมื่อหมดอายุ โดยกระบวนการทั้งหมดต้องปล่อยคาร์บอนและกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด

ขณะเดียวกัน ได้มีห้องพักประเภท Green room สำหรับลูกค้าที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะ ภายในห้องใช้หลอดไฟ LED มีถังขยะสำหรับคัดแยก แอร์ควบคุมความเย็น 25 องศาฯ ฝักบัวแบบประหยัดน้ำ ผ้าและปลอกหมอนเป็นผ้าไม่ฟอกย้อม พัก 3 คืนขึ้นไปจะได้รับของที่ระลึกที่ทำจากของรีไซเคิล

ด้วยความที่สยามเบย์ชอร์ใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมมานาน ปัจจุบันกลายเป็นแหล่งเรียนรู้สถานที่ดูงานของโรงแรมต่างๆ ที่มีเป้าหมายไปสู่ Green Hotel ไปแล้ว

คุณสิทธิพงษ์ ภู่ถาวร ชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชน ตําบลบางกอบัว จ.สมุทรปราการ กล่าวอย่างภาคภูมิใจ หลังจากเริ่มต้นสร้างสรรค์ให้เกิดวิถีการท่องเที่ยวโดยชุมชน เสน่ห์ริมน้ำแห่งคุ้งบางกะเจ้า : ชุมชนบางกอบัว จังหวัดสมุทรปราการ มาได้ 6 ปี สิ่งที่ภาคภูมิใจมากที่สุดคือสามารถทำให้เกิดการกระจายรายได้จากกิจกรรมการรวมกลุ่มของชุมชน เปลี่ยนภาพจากพื้นที่ที่ถูกลืม คนในท้องถิ่นทิ้งการเกษตรไปหางานในเมืองกรุง กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสร้างรายได้

กิจกรรมของที่นี่มีบริการพายเรือให้นักท่องเที่ยว ในคลองเล็กๆ ชื่อ “คลองแพ” ซึ่งเป็นเส้นทางการท่องเที่ยวเพื่อศึกษาธรรมชาติริม 2 ฝั่งคลอง กิจกรรมทำลูกประคบสมุนไพรสดภูมิปัญญาท้องถิ่นใช้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ นักท่องเที่ยวสามารถเช่าจักรยานปั่นลัดเลาะเส้นทางสีเขียวสัมผัสวิถีชีวิตชุมชน และพบกับเมนูจานเด็ด แกงกรุบมะพร้าวกุ้งสด เมี่ยงกลีบบัว สนุกกับการลงมือออกแบบมัดลายผ้า ทำผ้ามัดย้อม DIY จากสีธรรมชาติ

พื้นที่แห่งนี้ยังร่วมกันสร้างสรรค์กิจกรรมทุกอย่างที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และมีเป้าหมายปล่อยก๊าซคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ อาทิ การปรับวิธีการทำผ้ามัดย้อมจากย้อมร้อนใช้เตาถ่านเป็นย้อมเย็น พายเรือไม่ใช้เครื่อง หากพายไม่ไหวก็ให้นักท่องเที่ยวช่วยพาย ใช้สินค้าในท้องถิ่นแทนการขับรถออกไปซื้อข้างนอก บริหารการเก็บขยะและรีไซเคิลขยะ รวบรวมขวดพลาสติกอัดให้แน่นแล้วส่งเข้าโรงงานทอออกมาเป็นเส้นใย จากนั้นวัดจากแดงได้นำมาทำจีวรให้พระสงฆ์ มีการนำโฟมมาทำทุ่นดักขยะ นำขวดแก้วมาทำเป็นทรายสำหรับพ่นสนิม

“เมื่อก่อนกิจกรรมของเราทำให้เกิดคาร์บอน ฟุตพริ้นท์ หรือปริมาณของก๊าซเรือนกระจก 70.43 กิโลคาร์บอนไดออกไซด์ ต่อนักท่องเที่ยว 10 คน ในปี 2566 คาดว่า มีนักท่องเที่ยว 3,500 คน จากการทำกิจกรรมโลว์คาร์บอน ก็ลดลงมาเหลือ 39.83 กิโลฯ ต่อทริป 10 คน รวมแล้วทำให้เกิดคาร์บอน ฟุตพริ้นท์ 14 ตัน จึงมีการซื้อคาร์บอนเครดิตมาชดเชยให้ แต่ปีนี้เราต้องการปล่อยก๊าซคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ จึงได้ศึกษาวิธีการคำนวณขนาดของต้นไม้และความสูงที่มีอยู่ ก็รู้ว่าในพื้นที่ 3 ไร่ สามารถกักเก็บคาร์บอนได้ 54 ตัน แต่เราต้องการชดเชยแค่ 14 ตัน ฉะนั้นในส่วนที่เหลือก็สามารถขายคาร์บอนเครดิตได้ ทำให้ชาวบ้านในชุมชนยิ่งมีความร่วมมือเพราะสร้างให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้นอีก”