สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย เปิดเผยตัวเลขสถิติของโรคไข้เลือดออกในประเทศไทยตลอดช่วงระยะเวลา 15 ปี นับตั้งแต่ปี 2550 - 2564 พบว่าจากสถิติมีจำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตรวมกันมากถึง 1,237,467 คน ขณะที่สถานการณ์ของโรคไข้เลือดออกในปี 2566 จากรายงาน 506 กองระบาดวิทยา พบสถิติผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกสะสมแล้วกว่า 80,000 ราย และยังมีตัวเลขเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเฉลี่ยสัปดาห์ละ 6,000 ราย รวมทั้งมีผู้เสียชีวิตแล้วมากถึง 81 ราย ทั้งนี้พบตัวเลข การระบาดที่สูงที่สุดในรอบ 5 ปี และที่สำคัญเป็นกลุ่มเด็กอายุ 5-14 ปี สูงเกือบ 30,000 ราย ซึ่งเป็นกลุ่มที่ควรเฝ้าระวังมากที่สุด โดยปัจจุบันโรคไข้เลือดออกยังไม่มีการรักษาโรคแบบเฉพาะเจาะจง เป็นการรักษาตามอาการเท่านั้น วิธีการป้องกันโรคไข้เลือดออกคือการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ของยุงลาย ป้องกันไม่ให้ยุงกัด และการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อปกป้องให้ไกลห่างจากโรคด้วยการฉีดวัคซีน

ศ.พญ.กุลกัญญา โชคไพบูลย์กิจ นายกสมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงเหตุผลที่ครอบครัวควรตระหนักรู้ในโรคไข้เลือดออกว่า “เหตุผลที่ทุกครอบครัวควรตระหนักรู้ในโรคไข้เลือดออกมีอยู่ 3 เหตุผลหลักๆ ได้แก่ 1. โรคไข้เลือดออกไม่มีวันหายไปจากประเทศเรา เนื่องจากประเทศไทยตั้งอยู่ในเขตร้อนใกล้เส้นศูนย์สูตร และภูมิอากาศของประเทศมีลักษณะเป็นเมืองร้อนชื้นซึ่งทำให้มีพาหะนำโรคคือยุง ประกอบกับการที่ประเทศไทยมีอากาศที่ร้อนมากขึ้นทำให้มีการกระจายพื้นที่ของยุงเพิ่มขึ้นในประเทศเป็นจำนวนมากจึงเป็นโรคติดเชื้อที่คนไทยไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ 2. มีโอกาสเกิดอาการป่วยอย่างรุนแรงกับใครก็ได้ เพราะ โรคไข้เลือดออกเป็นโรคที่สามารถทำให้เด็กที่แข็งแรงดีป่วยหนักและเสียชีวิตได้ภายในไม่ถึง 1 สัปดาห์ ซึ่งจากสถิติพบว่าเด็กที่เกิดอาการป่วยอย่างรุนแรง มักพบได้ในเด็กช่วงวัยรุ่น เนื่องจากอาการมีความใกล้เคียงกับโรคไข้หวัด หรือไข้หวัดใหญ่ทำให้ชะล่าใจ ไม่ได้เข้ารับการรักษาอย่างทันถ่วงที บางรายอาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตอย่างไม่ทันตั้งตัว 3. ไข้เลือดออกไม่มียาจำเพาะในการรักษา การรักษาในปัจจุบันเป็นการรักษาตามอาการเพื่อให้อาการทุเลาลงเพื่อรอให้โรคหายเอง และให้สารน้ำอย่างเหมาะสมในจังหวะที่เกิดการรั่วของหลอดเลือดซึ่งเป็นช่วงสำคัญอันตรายที่นำไปสู่การช็อกและเสียชีวิต”

สำหรับกลุ่มผู้ป่วยไข้เลือดออกที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดจากสถิติพบว่าเป็นกลุ่มเด็กอายุ 5-14 ปี ในขณะที่กลุ่มผู้ใหญ่มีอัตราการเกิดโรคน้อยกว่า เพราะมักจะเคยติดเชื้อมาก่อนแล้ว แต่ในระยะหลังมีรายงานการติดเชื้อในผู้ใหญ่ที่มีอายุมากขึ้นและการติดเชื้อในผู้ใหญ่ที่มีโรคประจำตัวอาจจะมีอันตรายมากได้ ที่น่าสนใจคือ ร้อยละ 80 ของการติดเชื้อไข้เลือดออกจะไม่มีอาการและไม่รู้ตัวว่าตนเป็นผู้ติดเชื้อ จึงออกไปทำกิจกรรมตามปกติและเป็นแหล่งแพร่เชื้อได้เมื่อยุงกัด โดยยุงนั้นนำเชื้อไปแพร่ต่อ

กลุ่มที่ควรเฝ้าระวังและคาดว่าจะเกิดอาการรุนแรง ได้แก่ กลุ่มเด็กหรือวัยรุ่นที่มีน้ำหนักเกินหรือ ค่า BMI ในร่างกายที่สูง เนื่องจากกลุ่มคนเหล่านี้มีไขมันพอกบริเวณตับ ซึ่งเชื้อไวรัสไข้เลือดออกมักทำให้ตับอักเสบ ผู้ที่น้ำหนักมากจะเกิดภาวะหายใจลำบากได้ง่าย ถ้ามีภาวะสารน้ำรั่วในเยื่อหุ้มปอด รวมถึงความลำบากในการประเมินสภาวะของร่างกายและสารน้ำในร่างกายของผู้ที่น้ำหนักเกิน ทำให้การใช้สารน้ำรักษาค่อนข้างลำบาก เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ง่าย จึงทำให้ผู้ป่วยในกลุ่มนี้มีอาการค่อนข้างรุนแรง

ศ.พญ.กุลกัญญา กล่าวเพิ่มเติม ถึงวิธีสังเกตอาการในกลุ่มเด็กที่อาจเป็นโรคไข้เลือดออก “ในกลุ่มเด็ก หากมีอาการตัวร้อน มีไข้ขึ้นสูง ส่วนใหญ่ไม่มีอาการเจ็บคอหรืออาการหวัด ให้สันนิษฐานว่าอาจเป็นโรคไข้เลือดออก หากเป็นไปได้ให้รีบมาพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยโรคที่โรงพยาบาลจะดีกว่า ระยะแรกของโรคอาจจะมีเพียงไข้คล้ายกับการติดเชื้อไวรัสอื่นๆ แต่หลังจากนั้น 2-3 วัน อาการ จะมากขึ้น ทั้งไข้สูง อ่อนเพลียมาก เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน เกล็ดเลือดจะต่ำลงทำให้เกิดปัญหาเลือดออกง่าย และมีการรั่วของหลอดเลือดที่อาจนำพาไปสู่อาการช็อกและเสียชีวิตได้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที จึงควรมีการติดตามอาการอย่างใกล้ชิด อีกทั้งยังไม่แนะนำให้หายารับประทานเอง โดยเฉพาะยากลุ่มเอ็นเสด (NSAIDs) และ แอสไพริน ซึ่งเป็นกลุ่มยาที่อาจทำให้มีเลือดออกในกระเพาะอาหารและทำให้มีอาการที่รุนแรงมากขึ้นได้”

“นอกจากการปฏิบัติตามมาตรการเพื่อการป้องกันและเฝ้าระวังโรคไข้เลือดออก เช่น ปิดภาชนะเก็บกักน้ำให้มิดชิด ป้องกันการเข้าไปวางไข่ของยุงลาย เปลี่ยนน้ำในภาชนะอยู่เสมอๆ เพื่อไม่ให้มีแหล่งน้ำที่ยุงสามารถไปเพาะพันธุ์ได้ ปล่อยปลากินลูกน้ำในภาชนะใส่น้ำ และปรับปรุงสิ่งแวดล้อมรอบข้างให้ปลอดโปร่งแล้ว อีกหนึ่งทางเลือกในการป้องกันโรคไข้เลือดออกในประเทศที่เป็นเมืองร้อนคือ การฉีดวัคซีนช่วยลดการนอนโรงพยาบาลได้ร้อยละ 90* ในภาพรวมแล้วการฉีดวัคซีนจะสามารถช่วยลดจำนวนผู้ป่วยในระบบสาธารณสุขและยังอาจช่วยลดจำนวนผู้ที่ติดเชื้อโดยไม่มีอาการได้อีกด้วย จึงเป็นการลดการแพร่เชื้อได้นั่นเอง ดังนั้น การฉีดวัคซีนจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการป้องกันไข้เลือดออก ลดการแพร่เชื้อ ลดการระบาด และลดภาระทางด้านสาธารณสุขของประเทศ อีกทั้งยังช่วยสนับสนุนในการบรรลุเป้าหมายในการให้ไข้เลือดออกในประเทศไทยเป็นศูนย์ได้” ศ.พญ.กุลกัญญา กล่าวทิ้งท้าย

*Tetravalent Dengue Vaccine Reduces Symptomatic and Asymptomatic Dengue Virus Infections in Healthy Children and Adolescents Aged 2–16 Years in Asia and Latin America, The Journal of Infectious