“ครูบาศรีวิชัย” หรืออาจเรียกกันว่า “ครูบาเจ้าศรีวิชัย”...“พระครูบาศรีวิชัย” ...“ครูบาศีลธรรม”...“ทุเจ้าสิริ” อ่านว่า...“ตุ๊เจ้าสิลิ” เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปในเขตล้านนา เป็น ...“ตนบุญ” หรือ “นักบุญ” มีความหมายเชิงบวก ยกย่องว่ามีคุณสมบัติพิเศษ

ที่สำคัญ...มีตำนานเล่าขานเกี่ยวกับเรื่องราวเหนือธรรมชาติต่างๆมากมาย

เล่าสืบต่อๆกันมาว่าท่านจะเรียกตัวเองว่า “พระชัยยาภิกขุ” หรือ “พระศรีวิชัยชนะภิกขุ” มีชื่อเดิมว่า “เฟือน”...“อินท์เฟือน” บ้างก็ว่าชื่อ...“อ้ายฟ้าร้อง” สืบเนื่องมาจากในขณะที่เกิดนั้นว่ากันว่ามีปรากฏการณ์ฝนฟ้าคะนองอย่างหนัก

ส่วนคำว่า...อินท์เฟือนนั้นหมายถึงการเกิดกัมปนาทหวั่นไหวถึงสวรรค์หรือเมืองของ พระอินทร์

“ครูบาศรีวิชัย” เกิดปีขาล เดือน 9 เหนือ ขึ้น 11 ค่ำ จ.ศ.1240 เวลาพลบค่ำ ตรงกับวันอังคารที่ 11 มิถุนายน 2421 ที่หมู่บ้าน...“บ้านปาง” ตำบลแม่ตืน อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน สมัยยังเด็ก...หมู่บ้านถิ่นกำเนิดมีความทุรกันดารมาก มีชนกลุ่มน้อยอาศัยอยู่มาก โดยเฉพาะชาวกะเหรี่ยง...ปกาเกอะญอ

...

ช่วงเวลานั้นที่หมู่บ้านยังไม่มีวัด กระทั่งนายอินท์เฟือนอายุได้ 17 ปี ได้มีภิกษุรูปหนึ่งชื่อ...ครูบาขัติยะ เดินธุดงค์จากบ้านป่าซางผ่านมาถึงหมู่บ้าน ชาวบ้านจึงนิมนต์ท่านให้อยู่ประจำที่บ้านปาง แล้วก็ช่วยกันสร้างกุฏิชั่วคราวให้จำพรรษา

“เด็กชายอินท์เฟือน” ได้โอกาสจึงฝากตัวเป็นศิษย์ พออายุได้ 18 ปี ก็บรรพชาเป็นสามเณร อายุได้ 21 ปี ก็เข้าอุปสมบทในอุโบสถวัดบ้านโฮ่งหลวง อำเภอบ้านโฮ่ง จังหวัดลำพูน

เมื่อเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์...ก็ได้เดินทางไปยังสถานที่ต่างๆในแผ่นดินล้านนา โดยกุมผ้าแบบรัดอก สวมหมวก แขวนลูกประคำ ถือไม้เท้าและพัด ปฏิบัติธรรม ศีลวัตรสัจคุณ เว้นการเสพหมาก เมี่ยง งดฉันเนื้อสัตว์ ฉันอาหารเพียงมื้อเดียว ตั้งแต่อายุ 26 ปี ด้วยปรารถนาบรรลุโมกธรรม ตามอธิษฐานบารมีว่า...

“ตั้งปรารถนา ขอหื้อได้ธรรม ยึดเหนี่ยวเอาพระนิพพาน สิ่งเดียว”

 “ครูบาศรีวิชัย”...นับได้ว่าเป็นหนึ่งในอริยสงฆ์บนเส้นทางแห่งพระพุทธศาสนาของแผ่นดิน ล้านนา ที่ยังฝังในจิตใต้สำนึกตอกย้ำความเลื่อมใสศรัทธาว่าคือ “ตนบุญ” หรือ “นักบุญ” ซึ่งมีความหมายเชิงยกย่องว่าเป็นนักบวชที่มีคุณสมบัติพิเศษ...แม้ละสังขารไปนานแสนนานแล้วก็ยังไม่คลาย

@@@@@@

“ครูบาศรีวิชัย” เรื่องขึ้นปกสารคดี ฉบับกุมภาพันธ์ 2558...ครูบาศรีวิชัย ศรัทธาอภินิหาร การเมือง ศรัณย์ ทองปาน ติดตามสืบค้นไว้หลายแง่มุม...“กิเลน ประลองเชิง” คอลัมน์ชักธงรบ นสพ.ไทยรัฐ เคยคัดย่อยั่วใจให้หาอ่าน...บางตอน งานสร้างถนนขึ้นดอยสุเทพ เป็นงานใหญ่ รัฐบาลไม่มีเงินทำ 10.00 น. 9 พ.ย.2477 ครูบาศรีวิชัย ในฐานะประธาน ให้ฤกษ์ลงมือสร้าง...มีคนมาช่วยแรงไม่กี่สิบคน

ต่อมามีใบปลิวบอกบุญแจกจ่ายไปทั่วภาคเหนือ ไม่ช้าคนภาคเหนือ ทั้งฆราวาส ภิกษุสงฆ์ ชนกลุ่มน้อย ชาวเขา หลั่งไหลกันมาวันละกว่า 500 คน แต่ละคณะ “ศรัทธา” แบ่งงานรับกันไปทำ ตัวอย่าง วัดป่าตึง ทำได้ 5 วา เวลา 15 วัน พวกที่มาจากเมืองพาน ทำได้ 60 วา แต่ไม่บอกว่ากี่วัน

งานสร้างถนนคืบหน้า ไปถึงโค้งสุดท้าย เชิงบันไดนาค เป็นโค้งหักศอกลาดชัน นายช่างกองทาง จะวางแนวถนนวกอ้อมไปทางเหนือ เลี่ยงความสูง แต่ครูบาฯไม่ยอม...“จะถึงพระธาตุอยู่แล้ว ทำไมต้องอ้อมไปให้ไกล” ท่านให้เหตุผล

...

ทางการถอย ครูบาฯมอบหมาย ขุนกันชนะนนถี คหบดีชาวไต (ไทยใหญ่) จากเชียงตุง รับทำได้เสร็จดังใจ...โค้งตรงนั้นเรียกกันถึงวันนี้ว่า โค้งขุนกัน...มีความทรงจำของคนร่วมสมัยนั้นมากมาย แทบทุกคนมีเรื่องเล่าของตัวเอง “กำลังสำคัญ คือกะเหรี่ยงทำงานบริษัททำไม้จากพม่า เก่งตัดไม้ทำลายหิน หินก้อนผาขวางทาง...จะทำอย่างไร กลางคืนเขาสุมไฟเผา ตอนเช้าตักน้ำราด มันก็ยุ่ยออกเป็นทาง”

นับจอบแรก ระยะทาง 12 กม. ก็เสร็จลงเมื่อเมษายน 2478 รวมเวลาไม่ถึง 6 เดือน ชาวเชียงใหม่มีประเพณีเดินขึ้นดอยสุเทพเวลากลางคืน ลัดเลาะเหลี่ยมเขาขึ้นไปสักการะพระบรมธาตุเจดีย์ วันเพ็ญมาฆบูชา สำหรับครูบาฯ ถนนสายนี้มีความหมายซ้อนเหลื่อม คือเป็นมรรคหรือเส้นทางสู่พระนิพพาน ระหว่างทางครูบาฯวางแผนสร้างวัดสามแห่ง วัดศรีโสดา วัดสกิทาคา และวัดอนาคามี

ส่วนวัดพระธาตุดอยสุเทพ คืออรหัตผล หรือภาวะพระอรหันต์

วัดศรีโสดา วัดสกิทาคา สร้างเสร็จ ส่วนวัดอนาคามี ยังไม่ทันสร้าง ก็เกิดเหตุใหญ่ แต่ผลการสร้างถนนนั้นสำเร็จเสร็จได้เหมือนปาฏิหาริย์...

@@@@@@

...

เรื่องเล่าสืบต่อๆกันมาอย่างแจ่มชัดมีอีกว่า “ทางขึ้นดอยสุเทพ” จังหวัดเชียงใหม่ สาธารณ ประโยชน์ในครั้งนั้นสำเร็จด้วยพลังแห่งบารมี ศรัทธาจากผู้เลื่อมใสแต่ละวันไม่ต่ำกว่า 5,000 คน

ด้วยจิตเปี่ยมกุศลต่างมาร่วมกิจกรรมโยธา... โดยจะนำ ขอบก (จอบ) เสียม ปุ้งกี๋ เครื่องมือในการ ขุดถม ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีเครื่องจักรกลทุ่นแรงใดๆ ที่สำคัญคือไม่ต้องใช้อามิสสินจ้างแต่อย่างใด

บางรายก็ออกมาจากบ้านเป็นแรมเดือน สร้างกระท่อม เพิงพัก ตามรายทาง หุงหาอาหาร

จ่ายแจกเพื่อนร่วมโยธาด้วยศรัทธาพลังและแล้วเสร็จใช้เวลาเพียง 6 เดือนตามสัจวาจาที่ครูบาศรีวิชัยได้ตั้งไว้

 ตลอดชีวิตของครูบาศรีวิชัยเดินทางไปหนใดด้วยแรงแห่งบุญบารมีจะได้รับศรัทธาสาธุชนในการบูรณปฏิสังขรณ์ โบราณสถานต่างๆแห่งแผ่นดินล้านนา สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา...นามธรรมนี้จึงสามารถจับต้องให้เป็นรูปธรรมได้ ส่วนจะยั่งยืนและยาวนานแค่ไหนนั้นก็แล้วแต่ความเลื่อมใสและศรัทธา

บารมีพลังของครูบาศรีวิชัยได้รับความสำเร็จเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง ใช่เฉพาะคนในเมืองเท่านั้น หากแต่คนตามป่าตามเขา ชนกลุ่มน้อยกลุ่มใหญ่ ชาวแม้ว ชาวยาง ก็พากันมากราบนมัสการ...นับเป็นอริยสงฆ์ที่เข้าถึงประชาชน ได้รับแรงศรัทธาแม้ว่าจะละสังขารไปแล้ว...คนรุ่นหลังก็ไม่ยอมให้ตาย

...

 “ศรัทธา”...นำมาซึ่งปาฏิหาริย์? เชื่อไม่เชื่อโปรดอย่าได้...“ลบหลู่”.

รัก-ยม