นางเอ (นามสมมติ) อายุ 54 ปี อาศัยอยู่อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี ได้ใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ “บัตรทอง 30 บาท” ในการรักษาโรคมะเร็งปากมดลูก ที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติ จนทำให้สามารถกลับมาทำงาน...ใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติ ทั้งยังมีแนวโน้มที่จะรักษาหาย

ย้อนไปช่วงต้นปี 2565 เธอมีอาการปวดที่บริเวณก้นกบอย่างหนัก และมีสารคัดหลั่งสีน้ำตาลเข้มปนเลือดไหลออกจากบริเวณอวัยวะเพศ ซึ่งคิดว่าอาจไม่ได้เป็นโรคร้ายแรงอะไร จึงไม่ได้ทานยาและเลือกปล่อยให้หายเองตามธรรมชาติ ก่อนที่ 2 สัปดาห์ต่อมาอาการต่างๆยังไม่ดีขึ้น

รวมถึง 1 เดือนต่อมา...จะรุนแรงขึ้นจนไม่สามารถทำงานได้ จึงทำให้ตัดสินใจไปตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปากมดลูกฟรีจากโครงการของโรงพยาบาลมิตรไมตรี อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี

นางเอ บอกว่า หลังจากนั้น 16 วันทางโรงพยาบาลมิตรไมตรีได้แจ้งผลตรวจกลับมาว่าพบเชื้อมะเร็งบริเวณปากมดลูก และได้แนะนำให้ไปขอใบส่งตัวจากโรงพยาบาลบางใหญ่ สถานพยาบาลตามสิทธิ เพื่อไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า อ.เมือง จ.นนทบุรี ซึ่งมีความพร้อมในการตรวจมากกว่า

...

เมื่อส่งต่อมาที่โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า ใช้เวลาราว 2 เดือนในการตรวจ และได้รับการยืนยันว่าเป็นโรคมะเร็งปากมดลูก รวมถึงแพทย์วินิจฉัยว่าไม่สามารถผ่าตัดได้เนื่องจากเป็นบริเวณปากมดลูก พร้อมแนะนำให้รับการรักษาด้วยการบำบัดด้วยยาแทน โดยเสนอทางเลือกว่าจะรับการรักษาที่โรงพยาบาลราชวิถี

หรือที่...สถาบันมะเร็งแห่งชาติ โดยทางโรงพยาบาลจะดำเนินการส่งต่อรักษาให้

จนในที่สุดได้เลือกไปรับการรักษาที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติ และได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นถึงระยะที่ 3 ซึ่งยังสามารถรักษาหายได้ โดยขณะนี้ก็รับการรักษามาแล้วประมาณ 5-6 เดือน ก็มีอาการดีขึ้นมาก และล่าสุดได้ทำการ MRI อีกครั้ง เพื่อตรวจหาเชื้อว่ายังมีหลงเหลือหรือไม่ ผลจะออกมาวันที่ 7 มิ.ย.2566

“ถ้าเดือนหน้าผลออกมาว่าโอเคไม่พบเชื้อแล้ว ทุกอย่างก็เรียบร้อย หลังจากนั้นอาจจะเป็นการติดตามอาการหลังรักษาและดูแลฟื้นฟูต่อ” นางเอ ว่า

ย้ำว่า...สิทธิกรณีตัวอย่างข้างต้นนี้เป็นผลจากการยกระดับแนวทางการรักษาโรคมะเร็งให้ผู้ป่วยสิทธิบัตรทองสามารถรักษาได้ทุกที่ที่พร้อม (Cancer Anywhere) เมื่อวันที่ 1 ม.ค.2564 ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)

สำหรับค่ารักษาพยาบาลจะเป็นการร่วมจ่ายตามรายการการรักษาที่ สปสช. กำหนด เช่น ค่ายาเคมีบำบัดหรือคีโม 10 บาทต่อครั้ง การตรวจค่าไต เจาะเลือด ครั้งละ 135 บาท

โดยมีการรักษาได้แก่ การรับยาเคมีบำบัด หรือคีโม 8 ครั้ง ร่วมด้วยกับการฉายรังสีแสงเพื่อบำบัดมะเร็งจำนวน 30 ครั้ง การตรวจร่างกายด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) 2 ครั้ง

นพ.ศุภกร พิทักษ์การกุล นายแพทย์ชำนาญการพิเศษด้านเวชกรรม สาขามะเร็งวิทยานรีเวช และรองผู้อำนวยการด้านการแพทย์ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ เสริมว่า ในช่วง 2-3 ปีมานี้ ตัวเลขผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่อยู่ที่ประมาณ 140,000 รายต่อปี จำนวนเข้ารักษาที่โรงพยาบาลทั้งรายเก่ารายใหม่ประมาณ 2 ล้านครั้งต่อปี

นพ.ศุภกร พิทักษ์การกุล
นพ.ศุภกร พิทักษ์การกุล

น่าสนใจว่าตั้งแต่มีนโยบาย Cancer Anywhere เกิดขึ้น จำนวนผู้ป่วยมะเร็งสิทธิบัตรทองก็เพิ่มขึ้นด้วยเล็กน้อย แต่ไม่เพิ่มแบบก้าวกระโดด คาดว่า...เป็นคนไข้ที่ไม่เคยใช้สิทธิบัตรทอง เช่น จ่ายเงินเอง พอมีนโยบายนี้ทำให้คนไข้บางส่วนกลับมาใช้สิทธิในระบบบัตรทอง

...

“นโยบายมะเร็งรักษาทุกที่” หรือ “Cancer Anywhere” ตามมติบอร์ด สปสช. พุ่งเป้าเพื่อเพิ่มความสะดวกและเพิ่มการเข้าถึงการรักษาของผู้ป่วยมะเร็ง

จากเดิมที่ต้องให้โรงพยาบาลต้นทางทำเรื่องส่งตัวไปโรงพยาบาลที่รักษาได้ เปลี่ยนเป็นให้ผู้ป่วยมะเร็งไปรักษาที่โรงพยาบาลในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติหรือบัตรทองที่ไหนก็ได้ ทำให้มีทางเลือกในการรักษามากขึ้น เมื่อไม่ต้องใช้หนังสือส่งตัวจากโรงพยาบาลต้นทางก็ช่วยอำนวยความสะดวก ลดการเดินทางได้มาก

ยกตัวอย่างเช่น คนไข้ที่อยู่ต่างจังหวัดแต่มาทำงานใน กทม. เมื่อป่วยเป็นมะเร็ง ก็ต้องกลับไปเริ่มที่โรงพยาบาลต้นสิทธิและทำการรักษาในเขตสุขภาพนั้นๆ แต่ปัจจุบันเมื่อรู้ว่าป่วยก็เข้ารักษาที่โรงพยาบาลใน กทม. ได้เลย ไม่ต้องกลับไปขอหนังสือส่งตัว

อย่างไรก็ดี ในแง่ความสะดวกในการรับบริการจะเห็นภาพชัดเจนที่สำคัญว่า ผู้ป่วยได้รับการรักษาเร็วขึ้น ผลประเมินความพึงพอใจ ทั้งจากผู้ให้บริการและระบบริการก็อยู่ในระดับดี

ขณะเดียวกันสถาบันมะเร็งฯได้เก็บข้อมูลการเข้าถึงบริการเปรียบ เทียบก่อนและหลังมีนโยบายนี้ พบว่า อัตราการเข้าถึงการรักษา ทั้งการผ่าตัด รังสีรักษา และเคมีบำบัด เพิ่มขึ้นทีละนิดๆ

...

โดย 5 อันดับโรคมะเร็งที่พบมากที่สุด คือมะเร็งตับ...ท่อน้ำดี มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่...ลำไส้ตรง และมะเร็งปากมดลูก

นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) บอกว่า ในการควบคุมงบประมาณด้านโรคมะเร็งนั้น ที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุข (สธ.) มีการขับเคลื่อนแผนการป้องกันและควบคุมโรคมะเร็งแห่งชาติ ซึ่งมีมะเร็งหลายชนิดที่ป้องกันได้

อาทิ มะเร็งปากมดลูกโดยการฉีดวัคซีนป้องกันให้กับเด็กในวัยเรียน ซึ่ง สปสช.กำหนดให้เป็นสิทธิประโยชน์บัตรทองแล้ว หากจัดบริการฉีดให้ครอบคลุมนักเรียนในโรงเรียนทั้งหมด ก็จะลดจำนวนผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกในอนาคตลงได้ เช่นเดียวกับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก มะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง

...มะเร็งช่องปากและมะเร็งเต้านม หากตรวจพบในระยะเริ่มแรก นอกจากโอกาสของการรักษาให้หายแล้ว ค่าใช้จ่ายในการรักษายังต่ำกว่าในระยะที่โรคลุกลามแล้ว ขณะที่กรณีผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายที่มาถึงที่สุดของรักษาแล้ว ก็มีการดูแลแบบประคับประคอง โดยการตัดสินใจร่วมของผู้ป่วยและญาติ

เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี โดยการดูแลจะใช้งบประมาณไม่มาก เมื่อเปรียบเทียบกับการรักษาในโรงพยาบาล

นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี
นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี

...

ส่วนกรณีของการใช้ยามะเร็งแบบมุ่งเป้า ก็มีนโยบายให้นำรายการยามุ่งเป้าเข้ามาในระบบเพื่อดูแลผู้ป่วยมะเร็ง โดยในระบบบัตรทองจะมีผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งที่ให้คำแนะนำการรักษา ซึ่งผู้ป่วยมะเร็งจะได้รับยาตามโปรโตคอล ขณะที่ยามะเร็งรายการใหม่ๆ ก็จะถูกนำมาบรรจุเป็นสิทธิประโยชน์มากขึ้น

ย้ำว่ากรณี “ยามะเร็ง” ที่มีราคาแพงก็จะเข้าสู่กลไกต่อรองราคายา ซึ่งอาจทำให้ราคายามะเร็งลดลงครึ่งหนึ่งได้

“วันนี้ถ้าพูดถึงงบประมาณบัตรทอง เรายังอยู่ต่ำกว่าที่ 4% ของจีดีพีประเทศ ที่ผ่านมาเราใช้การบริหารจัดการเพื่อลดค่าใช้จ่าย ซึ่งส่วนต่างที่ประหยัดงบประมาณได้นี้ จะนำมาขยายในสิทธิประโยชน์ใหม่ต่อไป”

“บัตรทอง” ระบบหลักประกันสุขภาพที่ดูแลคนไทยเกือบทั้งประเทศ ครอบคลุมดูแลทุกโรค...ลดภาระประชาชนด้านสุขภาพ ไม่ให้ล้มละลายจากการเจ็บป่วย การใช้งบฯในสิทธิประโยชน์ต่างๆ นั้น จะต้องทำให้เกิดความคุ้มค่าจริงๆทั้งกับผู้ป่วยและระบบในภาพรวม รวมถึงประเทศชาติ.