อย่าเพิ่งนึกไปว่า... “หุ่นกระบอก” เป็นศิลปะการแสดงหนึ่งเดียวในสยาม เล่ากันว่า...ญี่ปุ่นก็มีอายุกว่า 300 ปี ขณะเกาหลีมีหุ่นแสดงให้บันเทิงผู้ด้อยโอกาส ไต้หวันมีหุ่นละครประกอบดนตรี นิวซีแลนด์มีหุ่นเชิดเปิดหมวกให้ประชาชนชม ส่วนสิงคโปร์ใช้หุ่นต่างอุปรากรแต้จิ๋วโบราณ

สปป.ลาว มี “หุ่นอีป๊อก” คล้ายไทย หุ่นกระบอกพม่าโบราณงดงามไม่แพ้ใคร เวียดนามมี “หุ่นกระบอกน้ำ” เรียก “วอเตอร์ พับเพต” แสดงในฮานอย ทัวร์ไทยนิยมไปชม หุ่นกระบอกอินโดนีเซียนิยมเล่นในกลุ่มชนพื้นเมืองมานับพันปี กัมพูชาใช้หุ่นขยับเชิดเป็นสองมิติคล้ายหนังตะลุง

ฟิลิปปินส์ใช้หุ่นสายร้องรำทำเพลง...ยักษ์ใหญ่อเมริกาชอบใช้มือทำหุ่นเล็กๆคล้ายหุ่นยุโรป

“หุ่นกระบอกไทย”...กำเนิดสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทรงเขียนไว้ตอนหนึ่ง...ครั้งเป็นพระเห็นขอทานตาบอดนั่งร้องเพลงสีซอข้างถนน นึกว่าไม่น่าฟัง...ที่ไหนได้ไพเราะทั้งร้องทั้งเล่นดนตรีคนเดียวกัน

...

กรมพระยาดำรงราชานุภาพ จึงเขียนตอบว่า... รู้จักคนสีซอร้องเพลงคนนี้ดีกับเคยไปพบคนเช่นนี้ที่เมืองแปร เป็นขอทานตาบอดข้างถนนสองคนคนหนึ่งขับลำนำและสีซออู้ อีกคนตีระนาดประสานกันไพเราะ...จึงเล่าเรื่องหุ่นกระบอกขณะอยู่มหาดไทยไปตรวจหัวเมืองเหนือ ลูกชายกลาง (จุลดิศ) อายุ 5 ขวบขอตามไปด้วย ที่อุตรดิตถ์สามเณรรณชัยให้หุ่นกระบอกสุโขทัยโดยคนขี้ยารูปร่างชาวไหหลำชื่อ “เหน่ง” มาเล่นให้ดู พร้อมขอหุ่นตัวหนึ่งมาให้ชายกลาง ระหว่างนั่งวอป่ากลับกรุงเทพฯก็เชิดกับคุณเถาะมาตลอดทาง

...แต่ไม่นานชายกลางก็สิ้นชีพ คุณเถาะขอยืมเงินไปลงทุนทำหุ่นกระบอกในกรุงเทพฯเมื่อ พ.ศ.2436...คนเลยเรียก “หุ่นคุณเถาะ” ต้นคิดคือ “นายเหน่ง” จากหุ่นไหหลำ และจำทำนองร้องเดินเรื่องจากเพลงตา “สังขารา”...

นี่คือตำนานหุ่นกระบอกไทย ซึ่งต่อมาได้รับความนิยมเทียบเท่าโขนและหนังใหญ่ แต่เสียดายหายไปเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 เพิ่งจะฟื้นฟูใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 9 โดยเป็นหุ่นขนาดเล็กลำตัวทำจากกระบอกไม้ไผ่ ส่วนเรื่องที่นิยมเล่นคือ “พระสุธน มโนราห์”

@@@@@@

นภัสวรรณ บุญนิธิ เขียนรายงานจากหลักสูตรการสอน บอกหุ่นกระบอกผู้เชิดและหุ่นทุกตัวจะต้องผ่านพิธี “บูชาครู” ไม่ต้อง “ครอบครู” เหมือนโขนและหุ่นละครเล็ก แต่ก็ต้อง “ไหว้ครูใหญ่” ประจำทุกปีในวันพฤหัสฯซึ่งถือเป็นวันครู โดยเครื่องบูชาครูประกอบด้วยมัจฉมังสาหาร 6 สิ่ง อาทิ หัวหมู เป็ด ไก่ ปูต้ม กุ้งต้ม ปลาแป๊ะซะนึ่ง พร้อมเครื่องกระยาบวชเผือกต้ม มันเทศต้ม กล้วยน้ำไทย อ้อย มะพร้าวอ่อน ถั่วเขียว ถั่วเหลือง

นอกจากนี้มีบายศรี ขนมต้ม ขนมหวานและผลไม้อย่างละ 9 ชนิด ข้าวรำ 3 ก้อน หมู 3 ชั้นดิบ เหล้าโรง ธูป เทียน พวงมาลัยคล้องมือหุ่น โดยคำกล่าวสักการะ...“พระพุทธบูชามหาเตชะวันโต ธัมมะบูชามหาปัญญะวัณโน สังฆะบูชามหาโภคะวะโท ติโลกะเสฏฐังมิ” แล้วจึงกล่าวชุมนุมเทวดา “สัคเคกาเม”

สุดท้ายลาเครื่องบูชาด้วยคำว่า...“เสสัง มังคะลา ยาจามะ”

การละเล่นหุ่นกระบอกเคยได้รับความสนใจจากคนไทยในอดีต มีคณะเปิดการแสดงต่อเนื่องและวิวัฒนาการเครื่องแต่งตัวหุ่นงดงามตามสมัย อย่างเช่นหุ่นกระบอกสวยงามอ่อนช้อยของจักรพันธ์ โปษยกฤต ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ ปี 2543 ที่ถูกกล่าวถึงมากมายแต่น่าเสียดายความนิยมในปัจจุบันเลือนหายไปมาก

@@@@@@

“พิพิธภัณฑ์หัวโขน นงนุชพัทยา” นำโดย กัมพล ตันสัจจา ประดิษฐ์หัวโขนสืบทอดต้นแบบผ่านขั้นตอนพิธีบวงสรวงและ “เบิกเนตร” ให้ผู้สนใจเข้าชมและเรียนรู้กว่า 586 เศียร ไม่นานนักก็เริ่มฟื้นฟู “หุ่นกระบอกไทย” ตามรูปแบบดั้งเดิม ให้คนทุกวัยได้รู้จักมรดกไทยที่นับวันจะหายไปจากเวทีแสดง

มอบหมายให้ อาจารย์พรหมมินทร์ สุมานา วัย 59 ปี ผู้จัดการฝ่ายโรงละคร ศิษย์เก่าจากวิทยาลัยในวังศาลายา ในฐานะผู้เชี่ยวชาญงานหัตถกรรมศิลป์เป็นผู้ควบคุมดูแล

...

อาจารย์เล่าให้ฟังว่า...ทีมงานเป็นช่างสตรีสวนนงนุช 8 คน ได้รับการอบรมจากครูผู้ให้องค์ความรู้แห่งวังหญิง ทุกคนต้องผ่านพิธีบูชาครูแล้วถึงจะทำงานได้ เริ่มจากฝึกปักลวดลายจนชำนาญ จากนั้นจึงจับงานฝีมือจริงบนผ้าขึ้นสะดึงกับไม้แบบโบราณ แล้วเอาผ้าที่จะปักจริงเย็บทับกับแบบใช้กระดาษเขียนลายทับอีกที

“...ถ้าหลายสีก็ต้องใช้กระดาษแต่ละสีปักทับลงไปบนเนื้อผ้าดิ้นเงินดิ้นทองไหมหรือด้ายหุ่นบางตัวต้องพิถีพิถันใช้ปีกแมลงทับจากโครงการศิลปาชีพสกลนครเข้ามาผสม”

งานนี้เป็นงานที่ละเอียดอ่อน ไล่เรียงไปตั้งแต่การออกแบบหน้าตา เครื่องประดับ รวมทั้งภูษาภรณ์จากเอกลักษณ์เดิม ต้องให้ระดับอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้วิเคราะห์จึงจะผ่านสู่ขั้นตอนการผลิต ซึ่งหุ่นกระบอก 1 ตัวจะต้องใช้เวลานานถึง 3 เดือนเป็นอย่างน้อย

ที่สำคัญ...หุ่นทุกตัวนอกจากตั้งโชว์แล้วจะต้องเชิดได้ ทุกวันนี้...ที่นี่มีหุ่นครู 3 ตัวคือหุ่นทศกัณฐ์ หุ่นนาง หุ่นครูพระคเณศ หุ่นเชิดพระมหาชนกอีก อย่างละ 2 ตัวกับหุ่นสำหรับซ้อมและหุ่นจริงชุดพระสุธน มโนราห์ 16 ตัวเสร็จ 9 ตัว พระอภัยมณี 16 ตัว หุ่นพระเวสสันดรจะลงมือทำอีก 10 ตัว

...

ความยากง่ายขึ้นอยู่กับหุ่นแต่ละตัว เช่น หุ่นม้านิลมังกรต้องใช้ปีกแมลงทับตั้งใจให้เสร็จ 2 สัปดาห์กลายเป็น 6 สัปดาห์ นางผีเสื้อสมุทรก่อนขึ้นงานก็ทำพิธีบูชาบอกกล่าวไว้ แต่อาถรรพณ์ก็กลับเกิดขึ้นอยู่ตรงนี้ ตรงที่ว่า...ต้องเปลี่ยนชุดใหม่ถึง 4 ครั้งนางจึงจะพอใจและดลใจให้ผ่าน

“หุ่นผีเสื้อสมุทรแปลงเป็นหญิงสาวแสนสวยก็ใช่ย่อย ต้องใช้ทรงผมจากใยสังเคราะห์นางถึงจะยอมให้ผ่านได้” อาจารย์ ว่า “ครูเชิดหุ่นกระบอกแต่ละคนเคยผ่านสถาบันนาฏศิลป์รู้วิธีเก็บรักษาหุ่น แต่บังเอิญเอาสกอตช์เทปไปล็อกแขนขาหุ่นแต่ละตัวสะเปะสะปะ ไม่ให้ขยับเขยื้อนแล้วล็อกกุญแจตู้อีกชั้น...”

ปรากฏว่า...หลังจากนั้นทุกคนก็ต้องตกใจเพราะไขกุญแจตู้ไม่ออก ผู้รู้ต้องมาทำพิธีขอขมาจึงจะสำเร็จ ทำให้ผู้เชิดตระหนักรู้...หุ่นกระบอกทุกตัวมีองคาพยพ รักจะอยู่อย่างธรรมชาติ ไม่ชอบให้ใครมาพันธนาการ

...ต้องแก้แขนขาที่ล็อกไว้อาถรรพณ์ดังกล่าวจึงจะคลาย

“ศรัทธา”...นำมาซึ่งปาฏิหาริย์? เชื่อไม่เชื่อโปรดอย่าได้...“ลบหลู่”.

...

รัก-ยม