อุตุฯ คาดช่วงปลาย มี.ค.-เม.ย. มีแนวโน้มอุณหภูมิสูงถึง 43 องศาฯ อยู่ในระดับที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เปิดรายชื่อจังหวัดที่อาจร้อนที่สุด 

วันที่ 31 มี.ค. 2566 ที่อาคาร 50 ปี อุตุนิยมวิทยา ดร. ชมภารี ชมภูรัตน์ อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา เปิดเผยว่า ในช่วงปลายเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายน จะเป็นช่วงที่อากาศร้อนที่สุดของปี กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่า อุณหภูมิจะสูงถึง 43 องศาฯ ซึ่งอยู่ในระดับที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยจังหวัดที่จะมีแนวโน้มอุณหภูมิสูงที่สุด คือ สุโขทัย ตาก ลำปาง แม่ฮ่องสอน ทั้งนี้ คาดว่าประเทศไทยจะมีสภาพอากาศร้อนจัดยาวไปจนถึงช่วงเดือนต้นเดือนพฤษภาคม

ดร. ชมภารี อธิบายเพิ่มว่า ดัชนีความร้อน หรือ Heat Index คือ อุณหภูมิที่คนเรารู้สึกได้ในขณะนั้นว่าอากาศร้อนเป็นอย่างไร หรืออุณหภูมิที่ปรากฏในขณะนั้นเป็นเช่นไร โดยค่าดัชนีความร้อนสามารถนำมาประยุกต์ใช้เพื่อระบุความเสี่ยงที่ร่างกายจะได้รับผลกระทบจากความร้อน หากพื้นที่ที่มีอากาศร้อนเกิดร่วมกับความชื้นสูงแล้ว จะทำให้คนเรารู้สึกเหมือนอุณหภูมิสูงกว่าอุณหภูมิของอากาศ ณ ขณะนั้น ซึ่งจะส่งผลต่อสุขภาพ

โดยกรมอุตุนิยมวิทยาได้ติดตามและจัดทำพยากรณ์ค่าดัชนีความร้อน ที่สามารถบ่งบอกถึงระดับอันตรายจากความร้อนที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้ชัดเจนกว่าการติดตามและคาดการณ์อุณหภูมิอากาศเพียงอย่างเดียว จึงขอแนะนำให้ประชาชน ใช้ข้อมูลพยากรณ์ค่าดัชนีความร้อน (Heat Index Analysis) เพื่อเฝ้าระวังผลกระทบจากสถานการณ์ความร้อนต่อสุขภาพ

...



ซึ่งกรมอุตุนิยมวิทยา โดยกลุ่มวิจัยและพัฒนาสารสนเทศอุตุนิยมวิทยา ได้จัดทำพยากรณ์ค่าดัชนีความร้อน (HI) เผยแพร่ไว้ในเว็บไซต์ http://www.rnd.tmd.go.th โดยใช้สีเพื่อกำหนดระดับ ได้แก่

  • สีเขียว หมายถึง ระดับเฝ้าระวัง แทนค่าดัชนีความร้อน 27-32 องศาฯ ผลกระทบต่อสุขภาพ คืออ่อนเพลีย วิงเวียน คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัวจากการสัมผัสความร้อน หรือออกกำลังกายหรือทำงานใช้แรงงานท่ามกลางอากาศที่ร้อน

  • สีเหลือง หมายถึง ระดับเตือนภัย แทนค่าดัชนีความร้อน 32-41 องศาฯ ผลกระทบต่อสุขภาพ ทำให้เกิดอาการตะคริวจากความร้อน และเกิดอาการเพลียแดดหากสัมผัสความร้อนเป็นเวลานาน

  • สีส้ม หมายถึง ระดับอันตราย แทนค่าดัชนีความร้อน 41-54 องศาฯ ผลกระทบต่อสุขภาพ มีอาการตะคริวที่น่อง ต้นขา หน้าท้อง หรือไหล่ ทำให้ปวดเกร็ง มีอาการเพลียแดด และอาจเกิดภาวะลมแดด (Heat Stroke) ได้ หากสัมผัสความร้อนเป็นเวลานาน

  • สีแดง หมายถึง ระดับอันตรายมาก แทนค่าดัชนีความร้อน มากกว่า 54 องศาฯ ผลกระทบต่อสุขภาพ จะเกิดภาวะลมแดด (Heat Stroke) โดยมีอาการตัวร้อน เวียนศีรษะ หน้ามืด ซึมลง ระบบอวัยวะต่างๆ ในร่างกายล้มเหลว และทำให้เสียชีวิตได้หากสัมผัสความร้อนติดต่อกันหลายวัน



สอดคล้องกับข้อมูลจาก นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย ที่ระบุว่า โรคฮีตสโตรก มีสาเหตุเกิดจากการที่ร่างกายอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่อุณหภูมิสูง และได้รับความร้อนมากเกินไป ทำให้เกิดการทำงานที่ผิดปกติของสมองในส่วนการควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ทำให้มีอุณหภูมิในร่างกายสูงเกิน 40 องศาฯ ส่งผลต่อระบบไหลเวียนโลหิตและระบบสมองได้

ผู้ที่มีความเสี่ยง ได้แก่ ผู้ที่ออกกำลังกาย หรือทำงานใช้แรงงานอย่างหนักท่ามกลางอากาศร้อนเป็นเวลานาน เช่น คนงานก่อสร้าง ทหารเกณฑ์ เกษตรกร ฯลฯ ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น นอนพักผ่อนไม่เพียงพอ ดื่มน้ำในปริมาณน้อย ติดสุรา ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่สูง กลุ่มสูงอายุ กลุ่มเด็กเล็กที่มีความสามารถในการระบายความร้อนจากร่างกายได้น้อยกว่ากลุ่มวัยรุ่นที่มีร่างกายแข็งแรงปกติ คนที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง รวมถึงผู้ที่ต้องใช้ยารักษาโรคบางชนิดเป็นยาที่กระตุ้นการขับปัสสาวะ จึงขัดขวางกลไกการกำจัดความร้อนออกจากร่างกาย ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคจากความร้อนได้มากขึ้น จึงต้องหมั่นสังเกตอาการตนเอง เพื่อลดความเสี่ยงจากโรคฮีตสโตรก เนื่องจากโรคดังกล่าวเป็นโรคที่มีความรุนแรงมาก หากไม่ได้รับการปฐมพยาบาลทันทีอาจเสียชีวิตได้

โดย 4 อาการสำคัญของโรคนี้ ได้แก่ 1. เหงื่อไม่ออก 2. สับสน มึนงง 3. ผิวหนังเป็นสีแดง และแห้ง 4. ตัวร้อนจัด ในกรณีที่พบผู้ป่วยที่มีอาการดังกล่าว ให้โทร. แจ้ง 1669 ทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้น โดยให้พาผู้ป่วยหลบเข้าที่ร่ม หรือห้องที่มีความเย็น ให้นอนราบ ยกเท้าและสะโพกสูง ถอดเสื้อผ้าให้เหลือเท่าที่จำเป็น รีบใช้ผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดตามตัวหรือวางถุงน้ำแข็งที่คอ รักแร้ และขาหนีบ หากผู้ป่วยหมดสติ ให้จับนอนตะแคงเพื่อป้องกันโคนลิ้นอุดทางเดินหายใจ และนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็วด้วยรถปรับอากาศ หรือเปิดหน้าต่างรถ เพื่อให้อากาศถ่ายเท.

...