ปิดเทอมใหญ่แม้ “เป็นช่วงแห่งความสุขของเด็กที่ได้พักผ่อนจากการเรียน” แต่เด็กจำนวนไม่น้อยออกมาวิ่งเล่นนอกบ้านแล้ว “ต้องประสบอุบัติเหตุจบชีวิตลง” กลายเป็นโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นบ่อยทุกปี
โดยเฉพาะ “เหตุเด็กจมน้ำพบกันบ่อยมากที่สุด” ตามข้อมูลสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว ม.มหิดล เคยเปิดเผยตัวเลขเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี มักจมน้ำเสียชีวิตในช่วงฤดูร้อนตรงช่วงการปิดเทอมเดือน เม.ย.ราว 33% เกิดอุบัติเหตุทางถนน 31% และอีก 36% ตกจากที่สูง หรืออุบัติเหตุในสนามเด็กเล่น
ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นว่า “ปิดเทอมใหญ่” เป็นช่วงแห่งความเสี่ยงที่ครอบครัว และชุมชนต้องตระหนักช่วยกันดูแลเด็กให้อยู่ปลอดภัยได้โดย รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผอ.สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัวฯ ให้ข้อมูลว่า การเสียชีวิตของเด็กจากอุบัติเหตุในช่วงปิดเทอมนั้นแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
ประเภทแรก...“กลุ่มอยู่บ้าน-ในชุมชน” มักเป็นเด็กอายุ 6 ขวบขึ้นไป “อันเป็นวัยที่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ชอบออกเล่นนอกบ้าน” กลายเป็นกลุ่มเป้าหมายที่จมน้ำเสียชีวิตมากที่สุดปีละ 700 ราย โดยเฉพาะช่วงปิดเทอมเดือน มี.ค.- พ.ค.และเดือน ต.ค.ของทุกปี จากการจมน้ำในบ่อ หนอง คลอง บึง สระในชุมชน
...
ส่วนหนึ่งเพราะ “พ่อแม่ปล่อยให้เล่นนอกบ้านลำพังมัวคิดว่าลูกดูแลตัวเองได้” มีข้อสังเกตว่าในช่วงโควิด-19 ระบาดโรงเรียนจัดการเรียนแบบออนไลน์ “ตัวเลขเด็กจมน้ำกระจายเฉลี่ยกันไปแต่ละเดือน” บ่งชี้ว่าเด็กเล่นน้ำมิใช่คลายร้อนอย่างเดียวแต่เด็กทุกคนชอบเล่นน้ำเป็นธรรมชาติ เพราะรู้สึกสดชื่น สนุกสนานเมื่ออยู่ในน้ำ
เหตุนี้ในช่วงปิดเทอมนั้น “ผู้ปกครอง” ควรมีการสำรวจแหล่งน้ำเสี่ยงรอบบ้าน ข้างบ้าน และในชุมชน แล้วจัดการแหล่งน้ำจุดเสี่ยงนั้น “ให้เกิดความปลอดภัยแก่เด็ก” ควบคู่กับการสอนให้รู้จักจุดเสี่ยงอันตราย
ส่วนชุมชน ท้องถิ่น สถานศึกษาจำเป็นควรจัดให้เด็กอายุ 6 ขวบขึ้นไป “เรียนวิธีการว่ายน้ำเพื่อเอาชีวิตรอด” อย่างเช่น การลอยตัวในน้ำ การใช้อุปกรณ์ช่วยในการลอยตัว และรู้วิธีการช่วยเหลือผู้อื่นจมน้ำอย่างถูกต้อง
ถัดมาคือ “อันตรายจากการเล่นในชุมชน” ส่วนใหญ่มักเกิดจากชุมชนมีสถานที่เล่นของเด็กไม่เหมาะสมอย่างอุปกรณ์เครื่องเล่นติดตั้งไม่ถูกวิธีไม่มีมาตรฐาน เช่น การไม่ยึดติดฐานรากแต่ปล่อยให้เด็กเล่นแกว่งไกว หมุน ปีนป่ายเต็มที่ ทำให้เครื่องเล่นอันมีน้ำหนักนั้น “ล้มลงมาทับเด็กเสียชีวิต” ที่มักเกิดขึ้นบ่อยในช่วงปิดเทอมนี้
เช่นเดียวกับ “เครื่องเล่นบางประเภทมีความสูง” เด็กปีนตกลงมากระแทกกับพื้นปูน หรือดินแข็งแล้วยิ่งกว่านั้น “สนามเด็กเล่นหลายแห่ง” มักแข็งแรงคงทนเฉพาะช่วงแรกๆ “เมื่อเล่นไประยะหนึ่งก็จะทรุดโทรมพัง” เพราะขาดการดูแลซ่อมแซมอย่างสม่ำเสมอ “ปล่อยให้ชำรุด” แต่กลับไม่มีป้ายห้ามแถมปล่อยให้เด็กเล่นกันต่อไป
ทำให้ในช่วงปิดเทอมนี้มักพบ “เด็กบาดเจ็บ และเสียชีวิต” ที่เกิดจากสนามเด็กเล่น หรือการตกจากที่สูงมากขึ้นทุกปี แต่ก็เป็นที่น่าเสียดาย “อันตรายจากการเล่นในชุมชน” ประเทศไทยมีการเก็บตัวเลขสถิติแบบระบบเฝ้าระวังจาก 20 โรงพยาบาลรัฐ เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลในการคำนวณความเสี่ยงทั้งประเทศ
...
แต่ปัจจุบัน “ไม่มีการอัปเดตข้อมูลแยกประเภทการบาดเจ็บ หรือเสียชีวิตแบบเจาะลงลึกถึงชนิดผลิตภัณฑ์อันเป็นต้นแหตุโดยตรง” ส่วนใหญ่ข้อมูลที่ถูกใช้กันเป็นงานวิจัยเก่าที่เคยเก็บตัวอย่าง 4 โรงพยาบาลของรัฐ พบว่า การบาดเจ็บจากเครื่องเล่นชิงช้า ม้าหมุน ปีนป่ายทั้งในโรงเรียน และในชุมชนมีอยู่ 3 หมื่นกว่ารายต่อปีแตกต่างจาก “ในหลายประเทศมีการอัปเดตข้อมูลกันแบบรายวัน” ด้วยการเก็บตั้งแต่ห้องฉุกเฉินว่า “สาเหตุการบาดเจ็บมาจากสิ่งไหน หรือของเล่นชนิดใด” แล้วส่งเข้าระบบสาธารณสุขระบุชัดว่า “เด็กโต” มักเสียชีวิตจากชนิดของเล่นประเภทลูกล้อ “เด็กเล็ก” เสียชีวิตจากของเล่นชนิดเล่นชิ้นเล็กๆ กลืนลงไปขวางหลอดลม
ทำให้มีฐานข้อมูลอันจะนำไปสู่การเฝ้าระวัง เตือน หรือแก้ปัญหาในเชิงนโยบายต่อไปได้
ในส่วนการแก้ปัญหาการเสียชีวิตจาก “เครื่องเล่นในสนาม หรือการจมน้ำ” ประเทศไทยมักวิเคราะห์มาจาก 3 ปัจจัย คือ 1.วิเคราะห์จากผลิตภัณฑ์ หรือโครงสร้างกายภาพอันจะนำไปสู่เด็กต้องเสี่ยงอันตราย 2.วิเคราะห์จากพฤติกรรมเสี่ยงจากตัวเด็ก และ 3.วิเคราะห์จากตัวผู้ปกครอง หรือชุมชนในการทำหน้าที่ดูแลเด็ก
ผลปรากฏพบว่า “ทุกด้านมีจุดอ่อนให้เด็กต้องบาดเจ็บ” เช่น เด็กจมน้ำมีจุดอ่อนตั้งแต่ชุมชนไม่มีพื้นที่ให้เด็กเล่นจนพากันไปเล่นน้ำลึกไหลเชี่ยวเป็นความเสี่ยงที่เกิดจากตัวเด็กและผู้ปกครองขาดการดูแลเอาใจใส่ด้วย
ถัดมาจริงๆแล้วเรื่องนี้ “รัฐบาล” กำหนดเป็นเป้าหมายระดับนโยบายในการลดการจมน้ำตายของเด็กอายุ 6-7 ขวบ ด้วยการให้เด็กชั้น ป.1 เรียนความปลอดภัยทางน้ำ 5 ประการ คือ 1.ลอยตัวในน้ำให้ได้ 3 นาที 2.ว่ายน้ำได้ 15 เมตร 3.ช่วยคนจมน้ำด้วยการตะโกน โยน ยื่น 4.วิเคราะห์จุดเสี่ยงรอบบ้านได้ 5.เดินทางทางน้ำต้องใช้ชูชีพเสมอ
...
แต่ในทางปฏิบัติ “ไม่อาจดำเนินการเป็นรูปธรรมเช่นนั้นได้” ส่งผลให้ทุกเมื่อมีการประเมินเด็กจบชั้น ป.1 มักเอาตัวรอดทางน้ำไม่ได้แล้ว “มากกว่า 70% ก็ไม่ได้ถูกฝึกมาด้วยซ้ำ” ทำให้เวลาเด็กจมน้ำมักกล่าวโทษแหล่งน้ำเป็นจุดเสี่ยงแต่มองข้าม “นโยบายส่งเสริมให้เด็กเอาตัวรอดทางน้ำ” ที่ยังไม่สามารถทำกันได้อยู่ทุกวันนี้
ปัญหามีว่า “เด็กอายุ 6 ขวบขึ้นไปไม่สามารถเรียนรู้เอาตัวรอดการจมน้ำได้” ชุมชนควรจัดพื้นที่สนามเด็กเล่นให้แก่เด็กได้เล่นกันอย่างปลอดภัย พร้อมทั้งมีพี่เลี้ยงในชุมชนคอยทำหน้าที่ดูแลอย่างใกล้ชิด
เช่นเดียวกับ “สนามเด็กเล่น” ถือเป็นสถานที่ที่มีเด็กบาดเจ็บ และเสียชีวิตมากที่สุด “เพราะการติดตั้งเครื่องเล่น 90% ไม่ยึดติดฐานรากอันเป็นจุดเสี่ยงสำคัญ” แต่หากสามารถดึงเด็กโตเข้ามาร่วมทำงานเชิงอาสาสมัครในการส่งเสริมการเล่นของเด็กในชุมชน และค่อยตรวจสอบเครื่องเล่นก็จะช่วยให้มีความปลอดภัยยิ่งขึ้น
นอกจากการจมน้ำ และสนามเด็กเล่นแล้วนั้น “อันตรายจากการเดินทางท่องเที่ยว” ก็เป็นปัญหาใหญ่ส่งผลให้เด็กเกิดความเสี่ยงอุบัติเหตุทางจราจรสามารถเกิดได้ทั้งการเดินทางกันเองของเด็ก หรือเดินทางไปกับผู้ใหญ่ ส่วนใหญ่พบการเสียชีวิตจากการขับขี่รถจักรยานยนต์ไม่ไกลจากชุมชน หรือละแวกบ้าน
...
ประเภทที่สอง...“อันตรายเด็กอายุต่ำกว่า 6 ขวบ” ตามมาตรฐานขั้นต่ำเด็กวัยนี้ “ผู้ปกครอง” ต้องดูแลใกล้ชิดแบบมองเห็น คว้าถึง วิ่งเข้าไปช่วยได้ทัน เพราะที่ผ่านมา “เด็กอายุต่ำกว่า 3 ขวบ” มักเสียชีวิตจากของเล่นชิ้นเล็กอุดตันทางเดินหายใจ “เด็กอายุ 4-6 ขวบ” จะเสียชีวิตจากการจมน้ำภายในบ้าน เช่น ถังน้ำกะละมัง อ่างห้องน้ำ
เพราะเป็นเด็กวัยเคลื่อนตัวไปยังจุดแหล่งน้ำ “แล้วอาจล้มในท่าศีรษะทิ่มลงน้ำระดับ 4-5 นิ้วก็มีโอกาสเสียชีวิตได้” สาเหตุส่วนหนึ่งเกิดจาก “ความประมาทไม่ทันคิดแหล่งน้ำภาชนะในบ้านจะเป็นจุดเสี่ยงให้เด็กสามารถเกิดเป็นอันตราย” กลายเป็นความโศกเศร้าของครอบครัวให้เห็นกันบ่อยปีละ 200 กว่าราย
แล้วการเสียชีวิตในเด็กเล็กนี้มักมีความสัมพันธ์กับ “ครอบครัวยากจน” เพราะไม่มีเวลาดูแลบุตรเท่าที่ควรแล้วยิ่ง “ช่วงปิดเทอม” เด็กต้องอยู่บ้านขาดการดูแลจาก “คุณครู” กลายเป็นเพิ่มเวลาความเสี่ยงมากยิ่งขึ้น
ตอกย้ำ “การแก้ปัญหาเรื่องอันตรายช่วงปิดเทอม” สามารถลดลงได้ “ชุมชน” ต้องช่วยทำให้เกิดพื้นที่เล่นที่ปลอดภัยในชุมชน ถ้ามีแหล่งน้ำก็จำเป็นต้องล้อมรั้ว ติดป้ายเตือน แล้วหากมีสนามเด็กเล่นต้องซ่อมบำรุงฐานรากที่ทรุดโทรม เพื่อให้เด็กมีพื้นที่เล่นปลอดภัย สิ่งสำคัญต้องมีผู้ดูแลเด็กจากอาสาสมัครเป็นพี่เลี้ยงเด็กในชุมชน
เช่นเด็กวัยรุ่นต้องการหารายได้พิเศษก็ยึดเข้ามาทำหน้าที่สอดส่องดูแลเด็กในช่วงปิดเทอม “พ่อแม่” ต้องเรียนรู้ธรรมชาติเด็กต้องเล่น “ควรจัดการให้บ้านมีพื้นที่เหมาะให้เด็กเล่น” พร้อมแนะนำให้รู้จักจุดเสี่ยงรอบบ้านเพราะเด็กอายุ 6 ขวบสามารถวิเคราะห์เหตุผลรู้จักจุดเสี่ยงได้ว่า “ตรงไหนเล่นได้ตรงไหนไม่ได้” ไม่ใช่สั่งอย่างเดียว
สุดท้ายย้ำว่า “ภัยอุบัติเหตุในช่วงปิดเทอมไม่ใช่เรื่องไกลตัวคร่าชีวิตเด็กไปทุกปี” ดังนั้นอย่าให้ปิดเทอมนี้กลายเป็นปิดเทอมใหญ่ “แห่งความเศร้าโศก” สามารถทำกันได้ง่ายๆ “ครอบครัว และชุมชน” ควรต้องช่วยกันดูแลสอดส่องเอาใจใส่ให้มากเป็นพิเศษ เพื่อลดปัญหาเด็กเสียชีวิตในแต่ละปี...