นับวันยิ่งมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น “ปัญหาเด็กหาย” สาเหตุจากความรุนแรงภายในครอบครัวเป็นปัจจัยสำคัญผลักให้ “เด็กหนีออกจากบ้าน” อันมีความต้องการอยากใช้ชีวิตอย่างแบบอิสระลำพัง
แต่โลกภายนอกบ้าน “ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ” ถ้าเป็นเด็กผู้ชายหนีออกจากบ้านมักกลายเป็นคนเร่ร่อนขอเงินนอนกินตามท้องถนน แต่หากเป็นเด็กผู้หญิงจะไปค้างบ้านเพื่อนสนิทต่างเพศผลคือ “มีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร” นำมาสู่การเกิดปัญหาท้องไม่พร้อม ทำแท้งเถื่อน หรือนำเด็กแรกเกิดไปทิ้ง
ตัวอย่างล่าสุด “เด็กชายอายุ 8 เดือนใน จ.นครปฐม หายออกจากบ้านตั้งแต่วันที่ 5 ก.พ.ที่ผ่านมา” หน่วยงานที่เกี่ยวข้องระดมกันค้นหานานกว่า 20 วัน “แต่ไม่พบร่องรอย” ก่อนแม่เด็กสารภาพทำลูกชายตกพื้นเสียชีวิตนำศพไปทิ้งแม่น้ำท่าจีนห่างบ้าน 200 เมตร พนักงานสอบสวนแจ้ง 3 ข้อหาคุมตัวฝากขังศาลเยาวชน
เรื่องนี้มองผิวเผินอาจเป็นแค่เหตุร้ายในครอบครัว แต่หากมองให้ลึกถึงต้นเหตุจะเห็นปัญหาความรุนแรงในครอบครัวจากพ่อแม่มาก่อน ทั้งปัญหาทางเศรษฐกิจ ความกดดัน ภาวะซึมเศร้าจากการเลี้ยงดูเด็กเล็กลำพัง ขาดทักษะชีวิตความพร้อมการดูแลเด็กเล็ก นำมาซึ่งการตัดสินใจก่อเหตุด้วยความรุนแรง หรือการเลี้ยงดูไม่เหมาะสม
...
ปัญหาเด็กหายนั้น เอกลักษณ์ หลุ่มชมแข หน.ศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงา ให้ข้อมูลว่า ในปี 2565 ตัวเลขการรับแจ้งเด็กหายอยู่ที่ 252 ราย เพิ่มขึ้นมากกว่าทุกปีโดยมีสถิติสูงกว่าปี 2564 ถึงร้อยละ 25 จังหวัดเด็กหายออกจากบ้านสูงสุดคือ กรุงเทพฯ 70 ราย นนทบุรี สมุทรปราการ 17 ราย ปทุมธานี 16 ราย
เมื่อประเมินสาเหตุพบจาก “การคลายล็อกดาวน์โควิด–19” ทำให้เด็กสามารถไปโรงเรียนได้ปกติ ทั้งประกอบกับช่วงการระบาดโควิด-19 พ่อแม่หลายคนเผชิญสภาวะทางเศรษฐกิจ “จนมีเวลาดูแลลูกลดลง” เพราะมัวแต่สนใจกับรายได้อันนำมาซึ่ง “เด็กนัดพบปะเพื่อนเกิดปฏิสัมพันธ์ต่อกัน” ผลคือเด็กสมัครใจหนีออกจากบ้าน
ถ้ามองลึกถึงสาเหตุ “เด็กสมัครใจหนีออกจากบ้านนั้น” ปรากฏเห็นปัญหาภายในครอบครัวตั้งแต่ครอบครัวแตกแยก เด็กถูกทิ้งให้ผู้สูงอายุดูแล ครอบครัวใช้ความรุนแรงด้านคำพูด กดดันบังคับเด็ก ใช้การเปรียบเทียบ กลายเป็นปัจจัยผลักให้เด็กอยากออกมาขวนขวายหาความรักและความอบอุ่นนอกบ้านแทน
ส่วนใหญ่เป็นช่วง “วัยรุ่นหัวเลี้ยวหัวต่ออายุ 13–15 ปี” ที่เป็นช่วงวัยมีสังคมเพื่อน หรือเป็นวัยมีแรงขับทางเพศตามธรรมชาติสูง “อยากลองอยากรู้” ทั้งยังสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีได้โดยง่าย
เมื่อเด็กมีปัญหา “จึงหันไปให้ความไว้วางใจกับเพื่อน หรือคนที่เพิ่งรู้จักในโลกออนไลน์มากกว่าคนในครอบครัว” ก่อนถูกชักชวนให้ไปอยู่กับแฟน หรือคนที่รู้จักกันในโลกออนไลน์ สุดท้ายก็ตัดสินใจเลือกหนีออกจากบ้านไปหาคนที่ไว้ใจนั้น ทำให้เสี่ยงมีเพศสัมพันธ์โดยไม่มีการป้องกัน หรือป้องกันไม่ถูกวิธีตามมา
ทว่า เด็กวัยนี้กลับมีวาทกรรมว่า “มีลูกได้ก็เลี้ยงได้เช่นกัน” แต่ในความจริงแล้ว “เด็กไม่สามารถเลี้ยงลูกลำพังได้” ถ้าชี้ให้เห็นชัดๆอย่าง “กรณีเด็ก 8 เดือนหายใน จ.นครปฐม” โดยพ่อแม่ของเด็กเป็นเยาวชนเคยมีพื้นฐานหนีออกจากบ้านมาก่อน เมื่อตั้งครรภ์ก็ไม่มีครอบครัว หรือผู้ใหญ่ให้คำปรึกษาอย่างถูกวิธี
ท้ายที่สุดเด็กก็ปรึกษากันเองกลายเป็นเลี้ยงดูลูกไม่เหมาะสม “นำมาซึ่งโศกนาฏกรรม” เพราะการเลี้ยงลูกได้นั้น “ควรมีความพร้อมทักษะชีวิตและพื้นฐานเศรษฐกิจ” มิเช่นนั้นจะส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในครอบครัว
...
ต้องยอมรับว่า “การเลิกร้างหักลากันในสังคมไทย” ส่วนใหญ่ล้วนมีปัญหาทางเศรษฐกิจในครัวเรือนแทบทั้งสิ้น “ฉะนั้นเด็กหนีออกจากบ้าน และมีครอบครัวก่อนวัยอันควร” จึงไม่มีความพร้อมเลยสักเรื่องเดียว แถมไม่สามารถเข้าถึงการช่วยเหลือจากหน่วยงานภาครัฐในด้านต่างๆได้อีกด้วย
ประเด็นถอดบทเรียน “เด็กหายบางเลน” ตามประสบการณ์ช่วงเกิดเหตุแรกๆ “คนในครอบครัว” มักไม่ยอมรับสารภาพจนกว่าจะพบศพเด็กอยู่แล้ว เรื่องนี้ตำรวจต้องทำหน้าที่สืบเสาะหาข้อเท็จจริงในสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ต้นตอรากเหง้ามองว่า “เยาวชนมีลูกก่อนวัย และต้องเลี้ยงลูกเอง” ย่อมมีแนวโน้มสูงต้องเผชิญปัญหาลำพัง
ผลตามมาคือ “ขาดที่พึ่ง และขาดที่ปรึกษา” กลายเป็นจัดการปัญหาแบบเด็กไม่มีวุฒิภาวะตัดสินใจจากความรู้สึกว่า “ลูกไม่หายใจกลัวความผิด” จึงนำไปทิ้งแล้วอ้างว่าเด็กหายถูกลักพาตัวไป
“สมมติพ่อแม่เด็กอยู่ในครอบครัวอบอุ่นมีคนให้คำปรึกษาที่ดี เชื่อว่าต้องพาลูกไปโรงพยาบาล ฉะนั้นหากมองอยากเข้าใจเด็กกลุ่มนี้ควรได้รับการเข้าถึงคำปรึกษาอย่างถูกต้อง พร้อมได้รับการดูแลหลักอนามัยเจริญพันธุ์ หากไม่พร้อมมีลูกก็ควรยุติกระบวนการตั้งครรภ์ สิ่งนี้คือสารตั้งต้นปัญหาต้องได้รับการแก้ไขให้ถูกจุด” เอกลักษณ์ว่า
...
ปัญหาหนีออกจากบ้านไม่จบแค่นั้น “เด็กยังต้องหลุดออกจากระบบการศึกษาโดยปริยาย” เนื่องจากหลีกเลี่ยงการติดตามจาก “พ่อแม่” ทำให้เด็กผู้หญิงหลายคนต้องมีครอบครัวตั้งแต่วัยรุ่นไม่สำเร็จการศึกษา
ไม่เท่านั้น “โลกภายนอกบ้าน” ยังมีอันตรายหลายอย่างสำหรับ “เด็ก” ทั้งการกระทำความรุนแรง ความเสี่ยงในการถูกล่อลวง การคุกคาม และการแสวงหาผลประโยชน์ทางเพศกับเด็ก “ด้วยตอนเด็กอาศัยในครอบครัว” มักมีพื้นฐานเศรษฐกิจจากพ่อแม่หยิบยื่นให้ แต่เมื่อหนีออกจากบ้านจำเป็นต้องเลี้ยงดูใช้ชีวิตด้วยตัวเอง
หนำซ้ำ “เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี” ตามกฎหมายกำหนดห้ามนายจ้างรับเข้าทำงานเป็นลูกจ้างในงานทั่วไป ดังนั้น ท้ายที่สุดก็พบว่า “เด็กบางส่วนเข้าสู่การขายบริการทางเพศ” แต่ไม่ได้อยู่ในลักษณะของกลุ่มแก๊งขบวนการบังคับขู่เข็ญ “มักเกิดจากเพื่อนแนะนำ” จนนำไปสู่การหลงเชื่อจากไม่มีทางเลือกอื่นในการหารายได้นั้น
...
ประการถัดมา “เด็กถูกลักพาตัว” กรณีนี้มีไม่เกิน 5 รายต่อปี “ลักษณะก่อเหตุก็มิใช่เป็นแก๊งขบวนการ” ผู้ก่อเหตุมักเป็นคนใช้ชีวิตเร่ร่อน และมีปัญหาสุขภาพจิตร่วมด้วย อย่างเช่นกรณีปี 2565 มีเด็กถูกลักพาตัว 2 ราย “ผู้ก่อเหตุ” มีพฤติกรรมเร่ร่อนขอทานในพื้นที่สาธารณะเผอิญเจอเด็กนั่งเล่นอยู่ลำพังก่อนชักชวนไปขอทาน
เนื่องจากตัวเองเป็นผู้ใหญ่ “ขาดความน่าสงสาร” จึงก่อเหตุลักพาตัวเด็กเป็นเครื่องมือใช้ขอทานนั้น
ต่อมา “การลักพาเด็กเล็กเพื่อการกระทำทางเพศ” ส่วนใหญ่ผู้ก่อเหตุถูกจับกุมดำเนินคดีไปหมดแล้ว “แต่สิ่งที่น่ากลัว คือ คนร้ายชอบก่อเหตุซ้ำ” นั้นแปลว่า เมื่อพ้นโทษมักออกมาก่อเหตุลักษณะเดียวกันอีก โดยเฉพาะเด็กตกเป็นเป้าอายุ 4-8 ขวบที่เป็นวัยที่ล่อหลอกง่าย และไม่สามารถต่อสู้ดิ้นรนขัดขืนได้
อีกกลุ่มคือ “ลักพาตัวเด็กด้วยความเสน่หา” กรณีนี้คนร้ายมักมุ่งเพื่อนำมาเป็นเพื่อนเล่นด้วยกัน “ผู้ก่อเหตุ” ส่วนใหญ่เป็นผู้มีอาการป่วยทางจิต พิการทางสติปัญญา หรือพิการทางสมอง ทำให้ไม่มีเพื่อนในวัยเดียวกัน “จึงใช้การพูดคุยกับเด็กพาเร่ร่อนไปเที่ยวเล่น” แต่ไม่มีวัตถุประสงค์จะกระทำทางเพศ
ซึ่งมีโอกาสเกิดอันตรายจากการใช้ชีวิตกับผู้ก่อเหตุที่ไม่มีศักยภาพปกป้องดูแลเด็กได้ เช่น ปีที่แล้วคนร้ายลักเด็กไปเป็นเพื่อนเล่นและขอทาน ตามประวัติพิการทางสติปัญญาก่อเหตุมาหลายครั้ง เพราะประเทศไทยไม่มีระบบติดตามผู้พ้นโทษคดีความรุนแรงต่อเด็กทำให้คนกลุ่มนี้ก่อเหตุซ้ำเมื่อถูกจับอีกก็รับสารภาพเพื่อให้รับโทษน้อยลง
ถ้าหากกรณี “เด็กต่ำกว่า 4 ขวบ” มักเกี่ยวกับการพลัดหลงกลับบ้านไม่ถูกจนกลายเป็นอุบัติเหตุเกิดขึ้นมาตลอด สาเหตุมาจาก “พ่อแม่ประมาท” มัวแต่คิดว่าบ้านเป็นที่ปลอดภัยเลยปล่อยให้เด็กเล็กเล่นอยู่หน้าบ้านลำพังจนคลาดสายตาเพียง 1 นาที “เด็ก” อาจวิ่งตามสัตว์เลี้ยงทำให้มีโอกาสเกิดเหตุร้ายได้เช่นกัน
แนะนำว่าเด็กหายต้องให้รีบตรวจสอบ “อย่าคิดนิ่งนอนใจว่าเด็กเล่นอยู่ที่ใดสักแห่ง” หากเกิดอันตรายจะช่วยเหลือไม่ทัน และแจ้งตำรวจบอกรายละเอียดเกี่ยวกับตัวเด็กให้มากที่สุดเพื่อการค้นหาจะง่ายขึ้น
ฉะนั้น “ครอบครัว” เป็นปัจจัยสำคัญในการป้องกันไม่ให้เด็กหายออกจากบ้าน โดยเฉพาะเด็กเล็กอย่าปล่อยให้ “วิ่งเล่นคนเดียวตามลำพัง” เพราะอุบัติเหตุมักเกิดขึ้นแบบไม่คาดฝันได้ทุกเสี้ยววินาที.