ความเหลื่อมล้ำในหลายมิติของสังคมไทยทวีความรุนแรงขึ้น ภายใต้บริบททางเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป และประชากรอีกกลุ่มที่กำลังได้รับผลกระทบจากความเหลื่อมล้ำนี้มากขึ้นเรื่อยๆ คือ “คนกลุ่มเปราะบาง” หรือ “ประชากรกลุ่มเฉพาะ” ทั้งผู้สูงอายุ คนพิการ คนไร้บ้าน แรงงานนอกระบบ ประชากรข้ามชาติ กลุ่มชาติพันธุ์ ผู้มีความหลากหลายทางเพศ ผู้หญิงที่ถูกกระทำรุนแรง ผู้ต้องขัง และกลุ่มมุสลิม ที่ล้วนต้องการการมองเห็น รวมถึงได้รับการดูแลจากรัฐและสังคมอย่างเป็นระบบ ซึ่งกว่าทศวรรษที่ผ่านมา มีการขับเคลื่อนเรื่องนี้อย่างจริงจังจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึง สสส. ที่เป็นสะพานเชื่อมภาคีเครือข่ายต่างๆ เข้าด้วยกัน ขณะเดียวกันในระดับชุมชนก็มีการเดินหน้าของ “คนตัวเล็ก” เพื่อสร้างคุณค่าให้กับประชากรกลุ่มเฉพาะอย่างเป็นรูปธรรม จนกลายมาเป็นแบบอย่างของแนวทางที่น่าสนใจด้วย

ถอดบทเรียนความสำเร็จ ชุมชนตำบลชมภู

ชุมชนตำบลชมภู อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ คือตัวอย่างหนึ่งที่น่าศึกษาแนวคิด และแนวทางในการดูแลประชากรกลุ่มเฉพาะของชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีพ่อหลวงอนันต์ แสงบุญ ในฐานะผู้นำชุมชน เป็นแกนนำในการขับเคลื่อนเรื่องนี้อย่างจริงจัง จากเมื่อกว่า 5 ปีที่แล้ว ที่เล็งเห็นว่าความเข้มแข็งของชุมชนจะเกิดเป็นความยั่งยืนได้ สมาชิกทุกคนในชุมชนต้องเห็นคุณค่าในตัวเอง และคุณค่าของกันและกัน ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะไหน หรือมีข้อจำกัดทางกายอย่างไรก็ตาม จนนำมาสู่การเกิดขึ้นของศูนย์บริการคนพิการตำบลชมภู จนวันนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จในการบริหารจัดการภายในชุมชนขนาดเล็ก เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในประชากรกลุ่มเฉพาะได้อย่างดี

พ่อหลวงอนันต์ แสงบุญ กล่าวในงานประชุมวิชาการและแลกเปลี่ยนเรียนรู้เสียงที่คนอื่นไม่ได้ยิน : ประชากรกลุ่มเฉพาะ ครั้งที่ 2 “2nd Voice of the voiceless: the vulnerable populations” ก้าวสู่สุขภาวะที่เป็นธรรม ที่จัดขึ้นโดยความร่วมมือของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และภาคีเครือข่าย เมื่อไม่นานนี้ว่า หัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนเรื่องนี้ในชุมชน คือการเริ่มต้นทำให้ทุกคนในชุมชนเห็นคุณค่าของตัวเอง และคุณค่าของกันและกัน ให้ได้เป็นอันดับแรก  

“ที่ชุมชนตำบลชมภู เราเริ่มต้นจากการฝึกอาชีพสำหรับผู้พิการขึ้น เพราะมองว่าเมื่อมีอาชีพ ผู้พิการก็จะเริ่มมองเห็นความสามารถที่ตัวเองมี เห็นคุณค่าในตัวเองจากการสร้างประโยชน์ให้กับผู้อื่นได้ ขณะที่สมาชิกคนอื่นๆ ในชุมชนก็จะมองเห็นคุณค่าของกลุ่มคนเหล่านี้มากขึ้น จากความสามารถเหล่านั้นด้วย ความสำเร็จของศูนย์ฝึกอาชีพในวันแรก ทำให้เกิดเป็นศูนย์บริการคนพิการขึ้นภายในชุมชนตำบลชมภู จนกระทั่งเราทำงานต่อเนื่องมาถึงการดูแลกลุ่มผู้สูงอายุในชุมชน ปัจจุบันมีกลุ่มผู้สูงอายุที่เข้ามาร่วมขับเคลื่อนเรื่องความมั่นคงทางอาหารในชุมชนขึ้น แต่ในแง่ของการทำงานที่นี่ก็ไม่ได้ทำเพียงเรื่องความมั่นคงทางอาหาร แต่เป็นพื้นที่ของความสุข และการแบ่งปันองค์ความรู้ในชุมชนด้วย เราเรียกว่า ‘แปลงปลูกปัน’ และจุดนี้เองก็เป็นจุดเปลี่ยนหนึ่งที่ทำให้ผู้สูงวัยเห็นคุณค่าในตัวเองจากสิ่งที่เขามี”

แนวทางที่ชุมชนตำบลชมภูทำมาอย่างต่อเนื่อง คือการสร้างผู้นำย่อย สำหรับการทำงานด้านต่างๆ เพื่อช่วยเป็นพลังขับเคลื่อน และสร้างแรงกระเพื่อมขึ้น สัมพันธ์กับแนวทางที่พ่อหลวงอนันต์วางไว้ นั่นคือ สร้างระบบให้ชุมชนดูแลกันและกัน ไม่เพียงส่งผลดีต่อเรื่องสุขภาพ หรือสุขภาวะในชุมชนเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นผลลัพธ์ต่อต่อมิติอื่นๆ ในชุมชนอีกด้วย ทั้งมิติทางสังคม หรือแม้แต่มิติทางเศรษฐกิจ แนวทางของชุมชนตำบลชมภู จึงนับได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จระดับชุมชน ที่ขับเคลื่อนผ่าน “คนตัวเล็ก” ซึ่งความสำเร็จจากจุดเล็กๆ สามารถขยายผลต่อเนื่องเป็นวงกว้างขึ้นได้ 

สอดคล้องกับทรรศนะของ คุณชาญเชาว์ ไชยานุกิจ รองประธานกรรมบริหารแผน คณะที่ 2 สสส. ที่กล่าวว่าพลังของคนตัวเล็ก หรือการทำงานระดับชุมชนมีความหมายและเป็นพลังที่มีคุณค่าในเชิงรูปธรรมมากกว่าที่หลายคนคิด เนื่องจากเกิดจากการขับเคลื่อนที่เริ่มต้นจากการมองเห็นปัญหาที่ชัดเจนในชุมชน แต่ทั้งนี้การเดินหน้าขับเคลื่อนเรื่องการลดความเหลื่อมล้ำ สำหรับประชากรกลุ่มเฉพาะในสังคมไทย ก็ยังจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย ด้วยความที่เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ซับซ้อน และผูกกันในหลายมิติ โดยเฉพาะเมื่อ “ประชากรกลุ่มเฉพาะ” ที่เอ่ยถึงนี้ กินพื้นที่ครอบคลุมในหลายกลุ่ม ไม่เพียงผู้สูงอายุและคนพิการ แต่ยังรวมถึงกลุ่มคนไร้บ้าน แรงงานนอกระบบ ประชากรข้ามชาติ กลุ่มชาติพันธุ์ ผู้มีความหลากหลายทางเพศ ผู้หญิงที่ถูกกระทำรุนแรง ผู้ต้องขัง และกลุ่มมุสลิม 

การขับเคลื่อนเชิงนโยบายเพื่อเดินหน้าสู่การลดความเหลื่อมล้ำในด้านต่างๆ อย่างเป็นรูปธรรม จึงมีความจำเป็นอย่างมาก โดยในงานประชุมวิชาการและแลกเปลี่ยนเรียนรู้เสียงที่คนอื่นไม่ได้ยิน : ประชากรกลุ่มเฉพาะ ครั้งที่ 2 “2nd Voice of the voiceless: the vulnerable populations” ก้าวสู่สุขภาวะที่เป็นธรรม ครั้งนี้ได้มีการเสนอนโยบาย 9 การเปลี่ยนแปลงสู่การลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรมทางสุขภาพ เพื่อสร้างกรอบการทำงานที่ชัดเจนขึ้นด้วย อันได้แก่ 1. การเข้าถึงบริการสุขภาพที่เป็นธรรม 2. การจัดสวัสดิการสังคมแบบถ้วนหน้า 3. การเสริมพลังประชากรกลุ่มเฉพาะ 4. การเสริมสร้างพลังเครือข่ายภาคประชาสังคม 5. การมีส่วนร่วมของชุมชนในการฟื้นฟูศักยภาพความเข้มแข็งประชากรกลุ่มเฉพาะ 6. การสร้างหลักประกันในการดำรงชีวิต 7. การลดความรุนแรง 8. การเข้าถึงบริการสาธารณะที่เป็นมิตรสำหรับทุกคนตามแนวคิดการออกแบบเพื่อทุกคน และ 9. การเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่สังคมสูงวัย พร้อมนำไปสู่แนวทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมในอนาคต 

หยุดรับฟังเสียงที่ตกหล่นในสังคม 

สำหรับงานประชุมวิชาการและแลกเปลี่ยนเรียนรู้เสียงที่คนอื่นไม่ได้ยิน : ประชากรกลุ่มเฉพาะ ครั้งที่ 2 “2nd Voice of the voiceless: the vulnerable populations” ก้าวสู่สุขภาวะที่เป็นธรรม ที่ผ่านมา เป็นการรวมพลังอีกครั้งของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง โดย สสส. ในฐานะที่ขับเคลื่อนเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่อง ภายใต้การทำงานของสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ (สำนัก 9) ที่ประกาศจุดยืนจะเดินหน้าในทศวรรษต่อไปอย่างมุ่งมั่น โดยเฉพาะการเป็นสะพานเชื่อมภาคีเครือข่ายต่างๆ ให้เกิดเป็นพลังในการทำงานที่มากขึ้น ดร. สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวถึงการทำงานต่อเนื่องในทศวรรษต่อไปของ สสส. ว่าจะเน้นไปที่การขยายผลต้นแบบงานสร้างเสริมสุขภาพสำหรับประชากรกลุ่มเฉพาะ ซึ่งความสำเร็จของชุมชนตำบลชมภู จังหวัดเชียงใหม่ ข้างต้น ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งในต้นแบบที่น่าสนใจที่ชุมชนอื่นๆ จะสามารถถอดบทเรียนสู่การวางแนวทางขับเคลื่อนที่เป็นรูปธรรมได้ด้วย

และนอกจากการผลักดันให้เกิดการสร้างเปลี่ยนแปลงภายในชุมชนโดยคนในชุมชนแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นแนวทางที่ชัดเจนของ สสส. คือการร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ผลักดันนโยบายควบคู่กันไป เพื่อให้เกิดผลที่รูปธรรมและยั่งยืนขึ้น สอดคล้องกับแนวทางของภาครัฐที่มีแนวทางในการขับเคลื่อนเรื่องนี้ต่อไป โดย ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะรองประธานกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ประธานในงานประชุมวิชาการในครั้งนี้ เน้นย้ำว่า ความเข้มแข็งของสังคมสัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตของทุกชีวิตในสังคม ซึ่งการทำให้เสียงที่ตกหล่นกลายเป็นเสียงที่ได้ยินมากขึ้น ก็นับเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสังคมที่แข็งแรงเช่นกัน  

แม้การเดินทางสู่การสร้างการลดความเหลื่อมล้ำในประชากรกลุ่มเฉพาะ เพื่อทำให้ทุกเสียงในสังคมได้ยินกันและกันมากขึ้น จะไม่ใช่เรื่องง่าย อีกทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางระยะไกล แต่หากมีสะพานเชื่อมพลังที่แข็งแรงขึ้น แนวทางก็จะค่อยๆ ชัดเจนมากขึ้นได้ จากเสียงไม่เคยได้ยิน หรือแม้แต่ตัวตนที่ไม่เคยถูกมองเห็น ก็จะค่อยๆ เผยขึ้น เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการร่วมสร้างชุมชนที่เข้มแข็งอย่างแท้จริง