ประวัติศาสตร์ไทยช่วงหลังกรุงศรีอยุธยาแตก เรารู้จักเจ้าพระฝางหนึ่งในก๊กใหญ่ ที่กว่าพระเจ้าตากจะปราบลงได้เหนื่อยหนักกว่าหลายก๊กอื่นระหว่างดำรงฐานะเป็นทั้งพระ เป็นทั้งเจ้า เจ้าพระฝางไม่ยอมสึกจากพระ ยังห่มจีวรเหมือนพระ เพียงแต่เปลี่ยนสีจีวรเป็นสีแดงยุคหลังกรุงศรีอยุธยาแตก คนไทยรุ่นเรา ยังเห็นพระสำนักสันติอโศก ห่มจีวรสีดำ ส่วน “ยันตระ” เจอข้อหาปาราชิก เราไม่เรียกพระ เขายังรักรูปแบบชีวิตพระ เปลี่ยนมาห่มจีวรสีเขียวผมอ่านหนังสือมาก็ว่ามากเล่ม เล่มรหัสวิทยา พลังเร้นลับ (สำนักพิมพ์ข้าวฟ่าง พิมพ์ครั้งที่ 4 พ.ศ.2543) อ่านเอามาใช้เขียนคอลัมน์หลายครั้ง...อ่านครั้งหลัง เพิ่งรู้ว่า พระห่มจีวรสีครามก็มีอาจารย์ “พลูหลวง” ท่านเขียนเอาไว้ในคำนำพระห่มจีวรสีครามมีขึ้นที่ไหน เกิดขึ้นได้อย่างไร หมดไปเมื่อไหร่ ค่อยๆทำความเข้าใจไปด้วยกันอาจารย์พลูหลวง ปรารภว่า ปรากฏการณ์เคลื่อนไหว บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ชาติมนุษย์ เราได้พบว่า เมื่อมีศาสนาต่างๆอุบัติขึ้นอย่างบริสุทธิ์ สิ่งที่ติดตามมาในจังหวะอันพอดี ก็จะเกิดการแตกแยกออกไป เป็นคติที่ขัดแย้งกันเช่นคริสต์ศาสนาเดิม ได้แยกออกเป็นโปรเตสแตนต์ กับนิกายอื่นอีกมากมาย ทั้งของเดิมและฝ่ายที่ขัดแย้ง แล้วก็แยกออกไปจนถึงลัทธินับถือซาตาน ผู้เป็นศัตรูพระผู้เป็นเจ้า และลัทธิมนตร์ดำพระพุทธศาสนาได้แยกออกเป็นสอง เดิมที่คงอยู่เรียกว่า หินยาน ฝ่ายที่แยกออกไปเรียกว่า มหายาน ซึ่งรุ่งโรจน์ในแถบเหนืออินเดียขึ้นไป ต่อมาได้แยกออกเป็นวัชรยาน มนตรยาน หรือลัทธิตันตริกทำนองเดียวกับมนตร์ดำ มีการนับถือพระโพธิสัตว์ การเล่นคาถาอาคม การเคร่งในพิธีกรรม ลัทธินี้แพร่หลายมาสู่อาณาจักรนครหลวงของเขมร สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7พระสงฆ์เริ่มลามก มีการทำพิธีทำลายพรหมจารีของสตรีผู้จะแต่งงาน ต้องแห่แหนเจ้าสาวเข้าสู่เรือนหอพระสงฆ์มหายาน ห่มจีวรสีคราม เรียกว่าสงฆ์อรี มีหน้าที่ทำลายพรหมจารีของเจ้าสาว พิธีนี้มีต่อมาในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 8 ชาวโลกรู้เรื่องนี้กว้างขวาง จากบันทึก เจียวต้ากวน ผู้ร่วมในคณะทูตจีน“พลูหลวง”บอกว่า ลัทธิการให้สงฆ์อรีทำลายพรหมจารีเจ้าสาว ในวันก่อนแต่งงาน เคยนิยมแพร่หลายอยู่ในอาณาจักรพุกามของพม่า เมื่อพุทธศตวรรษที่ 16แต่อาณาจักรพุกาม มีพระเจ้าอโนรธามังช่อ คนไทยเรียก พระเจ้าอนุรุทธมหาราช เป็นกษัตริย์ที่ฉลาดลึกซึ้ง ทรงเห็นว่า ลัทธิอรี เป็นลัทธิลามกอนาจาร แปดเปื้อนโลกีย์ ไม่ควรมีอยู่ในพุทธศาสนาทรงขับไล่สงฆ์อรีจีวร ออกไปจากพุกามจนหมดแล้วทรงรับคติสงฆ์ฝ่ายหินยานลังกาจากมอญภาคใต้ นำมาใช้เป็นหลักปฏิบัติในพุกาม ยืนยงถาวรในพม่าผมอ่านคำนำอาจารย์พลูหลวง...มาถึงตรงนี้ นึกได้เคยอ่าน หนังสือ“วัชรยาน ตันตระ” อาจารย์หม่อมคึกฤทธิ์ ปราโมช เขียนว่า พระลัทธินี้ (ไม่ได้บอกห่มจีวรสีอะไร) ยึดหลักสี่ ม. เมถุน เมรัย มัจฉา และมุทราม.เมถุน อยากเอา ก็เอา ม.เมรัย อยากก๊งก็ก๊ง ม.มัจฉา อยากกินปลาถ้ามีให้กินก็กิน ส่วน ม.มุทรา คือท่ารหัสมือ บอกวิธีบรรลุธรรมมีคาถาสั้นๆบทสำคัญ โอม มณี ปัททเม หุม อาจารย์หม่อมคึกฤทธิ์ แปลตามศัพท์ โอม มณีในดอกบัว แปลโดยความหมาย แก้วในดอกบัว ก็คือการเอาแก้วใส่เข้าไปในดอกบัวชื่อลัทธิ วัชรยาน แปลว่า ยานสายฟ้า อธิบายว่า บรรลุรวดเร็วในพริบตาแบบสายฟ้าแลบเดาเอาได้ว่า เมื่ออยากมีสุข ก็เสพสุขเสียให้สมอยากเดี๋ยวนี้...จะอดทนสวดมนต์ภาวนาให้เหนื่อยยากไปทำไมกันเล่า!กิเลน ประลองเชิง