• เปิดแนวทางฉีดวัคซีนโควิดฯ หลังเปลี่ยนเป็น "โรคประจำฤดูกาล" เผยการนับยอดผู้ป่วยติดเชื้อไม่เกิดประโยชน์ เหตุตัวเลขที่รายงานต่ำกว่าความเป็นจริงมาก
  • ปัจจัยที่ทำให้แนวโน้มความรุนแรงของโควิดฯ ลดลง เผยต้องฉีดวัคซีนอย่างน้อยกี่เข็ม จึงสามารถลดความรุนแรงของ XBB.1.5 ได้
  • หมอยันไม่มีวัคซีนปราบโควิดฯ เผยติดเชื้อซ้ำได้แต่อาการลดลง ชี้เกิดจากผลที่มีภูมิต้านทานที่เกิดจากการติดเชื้อครั้งแรก

ตลอดระยะกว่า 3 ปี กับการเผชิญหน้าโควิดฯ ไล่ตั้งแต่สายพันธุ์ดั้งเดิมอู่ฮั่นจนถึงยุคโอมิครอน ตั้งแต่ต้นปี 2565 เรื่อยมาจนกระทั่งโอมิครอนเจน 4 เจน 5 ในช่วงกลางปีเดียวกัน เรื่อยมาจนถึงปัจจุบันที่มีสายพันธุ์โอมิครอนยิบย่อยมากมาย จนเข้าสู่ช่วงสุดท้าย ที่น่าจะสิ้นสุดด้วยการเปลี่ยนเป็น "โรคประจำฤดูกาล" ซึ่งความรุนแรงของโรคลดลง ส่วนสถานการณ์โควิดไทย สัปดาห์ที่ 5 (วันที่ 29 ม.ค.-4 ก.พ. 2566) ดีขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับ มีผู้ป่วยเข้ารักษาตัวใน รพ. 252 คน และเสียชีวิต 17 คน ทั้งหมดเป็นกลุ่ม 608 ไม่ได้รับวัคซีน หรือรับไม่ครบ หรือรับเข็มกระตุ้นเกิน 3 เดือน ดังนั้น วัคซีนเข็มกระตุ้นยังถือเป็นสิ่งสำคัญ เพราะสามารถช่วยลดโอกาสการติดเชื้อและความรุนแรงของโรคได้ โดยเฉพาะกลุ่ม 608 !!!

...

ควรฉีดวัคซีนโควิดฯ ปีละกี่ครั้ง? หลังเปลี่ยนเป็น "โรคประจำฤดูกาล"

นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า โควิด-19 end game โดยเข้าสู่โรคประจำฤดูกาล โรคโควิดฯ ไม่ได้หายไปไหน และน่าจะสิ้นสุดด้วยการเปลี่ยนเป็นโรคประจำฤดูกาลต่อไป โดยในปีที่ 4 นี้ การนับยอดผู้ป่วยติดเชื้อไม่เกิดประโยชน์ เพราะตัวเลขที่รายงานต่ำกว่าความเป็นจริงมาก ขณะนี้ทั่วโลกน่าจะมีการติดเชื้อมากกว่า 70% หรือประมาณ 5 พันล้านคน ตัวเลขที่รายงานการติดเชื้อทั่วโลกมีประมาณเกือบ 700 ล้านคน ต่ำกว่าความเป็นจริงประมาณ 10 เท่า ส่วนประเทศไทยก็ไม่ได้รายงานตัวเลขติดเชื้อแล้ว รายงานเฉพาะผู้ป่วยที่ต้องรับไว้รักษาในโรงพยาบาลและผู้เสียชีวิตเท่านั้น

องค์การอนามัยโลก (WHO) คงจะเลิกนับตัวเลขในเร็วๆ นี้ หลังจากการระบาดในประเทศจีนลดลง (เพราะส่วนใหญ่ติดเชื้อแล้ว) ความรุนแรงของโรคลดลงมาโดยตลอด ผู้เสียชีวิตมากกว่า 80% เป็นผู้สูงอายุและมีโรคประจำตัว จะไม่มีการย้อนไปปิดบ้านปิดเมืองอีกแล้ว

ส่วนวัคซีน โดยเฉพาะ mRNA ตลาดควรเป็นของผู้ซื้อ วัคซีนมีอายุสั้น และขวดหนึ่งยังมีจำนวน 7-10 โดสจึงยากต่อการใช้ ให้มีการสูญเสียทิ้งให้น้อยที่สุด ประกอบกับมีราคาแพง มีอาการแทรกซ้อนที่พบได้ มากกว่าวัคซีนที่ใช้ในอดีต และในอนาคตเมื่อเทียบกับความรุนแรงของโรค จึงเป็นการยากที่ประเทศกำลังพัฒนาจะเข้าถึง ซึ่งความจำเป็นที่จะต้องฉีดทุก 4-6 เดือนนั้น ไม่มีอีกแล้ว เมื่อเข้าสู่โรคประจำฤดูกาล การให้วัคซีนจะเหลือเพียงปีละ 1 ครั้งเท่านั้น เพราะการนัดคนมาฉีดพร้อมกันเพื่อลดการสูญเสียของวัคซีนนั้นจะทำได้ยากขึ้น โดยเฉพาะวัคซีนมีอายุสั้น การเก็บรักษายุ่งยาก ใช้อุณหภูมิติดลบ ยิ่งทำให้ราคาแพงขึ้น ส่วนการให้ได้วัคซีนตรงกับสายพันธุ์ยิ่งยากเข้าไปอีก เพราะการพัฒนาต้องมีต้นทุนสูงและเมื่อพัฒนาขึ้นมาแล้วไวรัสก็เปลี่ยนสายพันธุ์ไปอีก ซึ่งในอนาคตอันใกล้นี้ ก็น่าจะได้เห็นตัวเลขของประเทศที่ใช้วัคซีนต่างชนิดกัน ประสิทธิภาพในการลดความรุนแรง หรือเสียชีวิตเป็นอย่างไร...เมื่อทุกประเทศส่วนใหญ่ติดเชื้อไปหมดแล้ว จะเป็นการย้อนดูบทเรียนในอดีต

ส่วนประเทศไทยมีการติดเชื้อไปแล้วมากกว่า 70% ถึงวันนี้น่าจะถึง 80% จึงทำให้มีภูมิต้านทานแบบธรรมชาติร่วมกับภูมิต้านทานจากวัคซีนในประชากรเกือบทั้งหมด และถ้าจำเป็นต้องฉีดวัคซีนปีละ 1 ครั้ง โดยให้ในกลุ่มเสี่ยง ปริมาณวัคซีนที่ใช้ต่อปีก็จะเหมือนกับไข้หวัดใหญ่ ที่มีฤดูกาลระบาดในฤดูฝนหรือโรงเรียนเปิดเทอมแรกในเดือนมิถุนายนนั่นเอง ดังนั้นการให้วัคซีนประจำปี ก็ควรจะเป็นช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม เพื่อป้องกันการระบาดในฤดูฝน ที่จะเริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายนเป็นต้นไป

...

เผยปัจจัยลดอาการป่วยโควิดฯ ต้องฉีดกี่เข็ม จึงลดความรุนแรง "XBB.1.5"

ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ ระบุต่อว่า ความรุนแรงของโรคโควิดฯ ลดลงมาโดยตลอด ด้วยปัจจัยหลายอย่าง คือ

1. การพัฒนาของไวรัสเพื่อความอยู่รอด ไวรัสพัฒนาตัวเองให้มีความรุนแรงลดลง เพื่อจะได้อยู่กับมนุษย์ เพราะถ้าทำให้เกิดความรุนแรงหรือเสียชีวิตตัวไวรัสเองก็อยู่ไม่ได้ การพัฒนาวัคซีนสมัยก่อนเช่น โปลิโอวัคซีน การทำให้เชื้ออ่อนฤทธิ์ลง จะเอาไวรัสมาเพาะเชื้อไปเรื่อยๆ ผ่านหลายๆ ครั้ง เมื่อนานเข้าไวรัสจะเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมให้อ่อนฤทธิ์ลง แล้วจึงเอามาทำเป็นวัคซีน เช่นเดียวกันกับเชื้อโควิดฯ เมื่อติดในมนุษย์ผ่านไปเป็นจำนวนรอบมากๆ นานเข้า ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมลดความรุนแรงมาโดยตลอด อัตราการเสียชีวิตของทั่วโลกลดลงจาก 3-5% มาเหลืออยู่ที่ประมาณ 1% หรือน้อยกว่าตัวเลขที่รายงานโดยองค์การอนามัยโลก แต่ยอดการเสียชีวิตกับการติดเชื้อขององค์การอนามัยโลกจะพบว่า ยอดการติดเชื้อต่ำกว่าความเป็นจริงมาก ดังนั้นอัตราการเสียชีวิตจริงๆ ก็จะยิ่งน้อยลงไปมากๆ สำหรับประเทศไทยอัตราการเสียชีวิตลดลงจาก 1% ในตอนแรก เหลือขณะนี้น้อยกว่า 0.1% และยิ่งในคนปกติด้วยแล้วไม่น่าจะแตกต่างกับไข้หวัดใหญ่

2. การติดเชื้อในมนุษย์ มีเป็นจำนวนมาก คาดว่าน่าจะเกินกว่า 70% ขึ้นไปของประชากร เช่นเดียวกับในประเทศไทยเราทำการศึกษาของเรา ก็พบว่ามีการติดเชื้อไปแล้วมากกว่า 70% ของประชากร หรือประมาณมากกว่า 50 ล้านคน และประชากรส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนอย่างน้อย 2 เข็ม ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ทำให้เกิดภูมิต้านทานแบบลูกผสม ซึ่งสามารถป้องกันการติดเชื้อได้ดียิ่งขึ้นกว่าวัคซีนอย่างเดียวหรือติดเชื้ออย่างเดียว และพิสูจน์แล้วว่าลดความรุนแรงของโรคลงได้ไม่ว่าเชื้อนั้นจะกลายพันธุ์มาถึง XBB.1.5

...

3. ลำพังวัคซีนอย่างเดียวไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ ในขณะเดียวกันวัคซีนกระตุ้นให้เกิดภูมิต้านทานที่สูงมากกว่าการติดเชื้อ เช่น mRNA วัคซีน ยิ่งมีผลไปกดดันไวรัสให้หลีกหนีภูมิต้านทานที่เกิดขึ้นเพื่อความอยู่รอดของตัวไวรัส จึงทำให้เกิดการกลายพันธุ์มาโดยตลอด โดยหลักการตามวิวัฒนาการแล้ว เมื่อมีอะไรไปกดดัน ไวรัสก็พยายามหลีกเลี่ยง ดังนั้นภูมิต้านทานที่เกิดจากวัคซีนที่สูงมากจึงไม่สามารถที่จะป้องกันการติดเชื้อได้เลย แต่ระบบภูมิต้านทานในบางระบบช่วยในการลดความรุนแรงของโรค

โดยสรุปในบ้านเรามีการติดเชื้อไปแล้วมากกว่า 70% และมีการฉีดวัคซีนไปแล้ว 2 เข็ม มากกว่า 80% ประชากรส่วนใหญ่จึงมีภูมิต้านทานแบบลูกผสม ที่สามารถลดความรุนแรงของโรคได้เป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าเชื้อกลายพันธุ์ตัวใหม่ XBB.1.5 ที่กำลังจะเข้ามา (ขณะนี้เป็นสายพันธุ์หลักในอเมริกา).

ยันไม่มีวัคซีนปราบโควิดฯ เผยติดเชื้อซ้ำได้แต่อาการลดลง

นพ.ยง ภู่วรวรรณ ระบุอีกว่า โควิด-19 การติดเชื้อซ้ำความรุนแรงของโรคลดลง เรารู้กันแล้วว่าโรคโควิด-19 เป็นแล้วเป็นอีกได้ เหมือนไข้หวัดใหญ่ วัคซีนที่ฉีดไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ ภูมิต้านทานที่เกิดจากวัคซีนแต่ละชนิดไม่ว่าจะสูงต่ำจึงไม่แตกต่างกัน และไม่มีวัคซีนเทพ

...

จากการศึกษาของศูนย์ฯ ในผู้ที่ติดเชื้อครั้งแรกและติดเชื้อซ้ำครั้งที่ 2 ในจำนวนมากกว่า 200 คน พบว่าการติดเชื้อซ้ำครั้งที่ 2 ส่วนใหญ่อาการน้อยกว่าการติดเชื้อครั้งแรก ในเกือบทุกลักษณะอาการ ยกเว้นน้ำมูกไหลที่มีการพบในอัตราส่วนที่เท่ากัน อาการที่ลดลงเกิดจากผลที่มีภูมิต้านทานที่เกิดขึ้น จากการติดเชื้อครั้งแรก รวมทั้งจำนวนหนึ่งได้รับวัคซีน และการเปลี่ยนแปลงของสายพันธุ์ไวรัส ที่อาจจะทำให้ความรุนแรงลดลง การติดเชื้อครั้งที่ 2 ส่วนใหญ่อาการจึงน้อยกว่าครั้งแรก

กราฟิก : Jutaphun Sooksamphun