เปิดปากกับภาคภูมิ ครอบครัวแฉกลโกงมิจฉาชีพ หลอกเด็ก ม.4 อยากหารายได้สมัครหาเงินจากการดูคลิป สุดท้ายหลอก-ข่มขู่ให้โอนเงินจนหมดบัญชี 3 แสนบาท สิ้นหวังจนเกือบเกิดเรื่องเศร้า

เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 ในรายการ "เปิดปากกับภาคภูมิ" ทางไทยรัฐทีวีช่อง 32 ดำเนินรายการโดย นายภาคภูมิ พันธุ์สถิตย์ ได้พูดคุยกับครอบครัวผู้เสียหาย กรณีเด็ก ม.4 อยากหารายได้ สมัครหาเงินจากการดูยูทูบ แต่กลับโดนมิจฉาชีพหลอกให้โอนเงินจนเกลี้ยงบัญชี

ทั้งนี้ คุณลักขณา แม่ของเด็ก เปิดเผยว่า ขณะนี้สภาพจิตใจของลูกยังไม่ดีขึ้น แต่อยากให้แม่มาออกรายการเพื่อเตือนคนอื่น เหตุการณ์เกิดขึ้นเพราะลูกอยากหารายได้พิเศษ สำหรับเรื่องนี้เริ่มจากวันที่ 3 ธันวาคม 2565 ลูกได้รู้จักเพจดังกล่าวจากในอินสตาแกรม เป็นเพจลักษณะรับสมัครงานและชวนทำงาน สาเหตุที่หลงเชื่อส่วนหนึ่งเพราะรูปโปรไฟล์ของแอดมินเพจเป็นภาพคนดังใน TikTok ซึ่งไม่แน่ใจว่าเป็นภาพที่ถูกนำมาแอบอ้างหรือไม่

จากนั้นแอดมินให้ลูกลงทะเบียน 100 บาทเพื่อรับงานดูคลิป และ MV ต่างๆ เพื่อรับเงินส่วนแบ่ง แต่หลังจากโอนเงินลงทะเบียนไปแล้ว ทางแอดมินแจ้งกลับมาว่างานดังกล่าวเต็ม ให้เปลี่ยนเป็นงานลักษณะอื่น แต่ต้องโอนเงินลงทะเบียนใหม่ โดยเสียค่าลงทะเบียนไปรวมๆ 1,500 บาท แต่ไม่ได้เงินกลับมา ลูกจึงหยุดทำ

...

ต่อมาแอดมินได้ทักมากระตุ้นให้ทำงานอีกครั้ง และเริ่มข่มขู่ว่าเป็นงานที่ลูกทำผิดกฎหมาย จะมีการแจ้งไปที่สรรพากร และระบบจะส่งข้อมูลส่วนตัวของลูกไปประจานตามโซเชียลต่างๆ ซึ่งจะมีผลต่อการเรียน การงาน ด้วยความความกังวลลูกจึงโอนเงินเพื่อปิดบัญชี มีการโอนเงินไปหลายครั้งจนบัญชีของลูกเงินหมด แต่ทางแอดมินยังขู่ให้โอนเงินเพิ่มเพื่อปิดบัญชี

ลูกจึงมาขอยืมโทรศัพท์ของยาย แล้วโอนเงินจากบัญชียายเข้าบัญชีตัวเอง แล้วโอนเงินไปให้แอดมินอีก 1 หมื่นกว่าบาท แต่ยังไม่พอ ทางแอดมินได้ถามว่ายังมีอีกบัญชีไหม ลูกจึงโอนเงินอีกบัญชีไป ซึ่งเป็นเงินที่แม่ฝากไว้ให้เป็นเงินทุนการศึกษา รวมกับเงินบำนาญของตา รวมแล้วลูกได้โอนเงินไปทั้งหมด 302,500 บาท ซึ่งทางแอดมินได้ให้ลูกโอนเงินไปให้อีกพูดประมาณว่า จะทิ้งทุนเหรอ และเสนอให้ลูกยืมเงินก่อน ต่อมาช่วงเย็นวันที่ 8 มกราคม ที่ผ่านมา ลูกได้โทรไปขอยืมเงินป้าอีก 6 หมื่นบาท ทำให้ผู้ใหญ่ได้รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น

ด้านคุณยาย เล่าว่า เย็นวันนั้นเพื่อนบ้านมาบอกว่า หลานวิ่งออกจากบ้านไปบ้านอีกหลังหนึ่งข้างๆ กันและไปนั่งอยู่ที่ระเบียงร้องไห้ฟูมฟายบอกว่า ไม่อยากอยู่แล้ว หมดตัวแล้ว แต่โชคดีตนขึ้นไปทันแล้วกอดหลาน ไม่เช่นนั้นคงเกิดเรื่องเศร้า หลังจากตนดึงหลานมาได้ก็บอกหลานว่า ยายรักหลาน แต่หลานก็ยังตัวสั่นพูดว่า หนูหมดแล้ว เห็นแล้วน่าสงสารมาก

คุณแม่ กล่าวต่อว่า หลังจากรู้เรื่องราวจากป้า ก็คิดกันว่าต้องเป็นมิจฉาชีพ จึงพากันไปแจ้งความ ซึ่งข่าวของเด็กอายุ 15 ปีนั้น เกิดขึ้นวันเดียวกัน แต่ครอบครัวเรามารู้ข่าวในวันถัดมา แต่บ้านเราโชคดีที่มีคนอยู่กับลูกตลอด จากเรื่องนี้เราจึงคิดว่าควรเป็นอีกครอบครัวหนึ่งที่ออกมาบอกให้คนรู้ว่า มีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นกับเด็ก ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ดีเลย

ขณะที่น้าชาย กล่าวว่า หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนได้พาหลานไปแจ้งความที่ สภ.เมืองนครราชสีมา แล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ร้อยเวรฟัง ซึ่งร้อยเวรบอกว่าเคสแบบนี้เจอกันหลายคน พร้อมกับแนะนำให้แจ้งกับทางตำรวจไซเบอร์ ทางกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เป็นการกรอกข้อมูลออนไลน์ โดยหลังจากแจ้งแล้ว ระบบได้ขึ้นเวลานัด และชื่อของผู้รับเรื่องคือวันที่ 18 มกราคม 2566 จนถึงวันนัดตนได้ติดต่อไปตามที่ระบบแจ้งไว้ แต่อีกฝ่ายบอกว่า “ผมไม่ได้นัด ออนไลน์นัด” ตนเลยถามว่าจะต้องทำอย่างไร เขาจึงให้ตนแอดไลน์ไป แต่หลังจากแอดไลน์ไปแล้วอีกฝ่ายยังไม่อ่าน จนเวลาบ่าย 3 โมง ตนจึงโทรไปอีกครั้ง เขาก็บอกว่า ให้รอ ตอนนี้ออกกำลังกาย

จนวันที่ 20 มกราคม ตนได้ติดต่อไปอีกครั้ง เขาบอกว่า วันนี้ภรรยาให้ทำความสะอาดบ้าน เตรียมวันตรุษจีน ซึ่งระหว่างนั้นทางครอบครัวไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะต้องรอใบแจ้งความ ไม่สามารถอายัดเงิน 3 บัญชี รวมเงินกว่า 3 แสนได้ จนกระทั่งวันที่ 23 มกราคม นอนไม่หลับจึงคิดส่งอีเมลหาสื่อ ต่อมาเขาได้ส่งไฟล์มาให้ ตนถือไปที่ สภ.เมืองนครราชสีมา ซึ่งทางตำรวจก็ถามอีกว่า ทำไมให้เจ้าทุกข์ถือใบมาเอง ซึ่งในวันนั้นได้เจอกับผู้กองคนหนึ่งที่เห็นเหตุการณ์ก็ได้เรียกไปสอบปากคำ

...

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทนายรณรงค์ แก้วเพชร กล่าวว่า ตนไม่รู้ว่าที่นี่เป็นอย่างไร แต่ที่อื่นใช้เวลา 30 นาทีก็ได้ใบอายัดแล้ว ในส่วนของการตามตัวมิจฉาชีพจะเจอหรือไม่เจอนั้น ก็เป็นเรื่องของตำรวจไซเบอร์ สำหรับเรื่องการโอนเงิน กรณีนี้เป็นถือว่าเราเป็นผู้โอน ธนาคารอาจจะไม่รับผิดชอบ ต้องไปตามจับมิจฉาชีพและพิสูจน์ให้ได้ว่าโดนหลอก ไม่เหมือนกับกรณีที่มีคนมาเอาเงินออกจากบัญชีของเรา

อย่างไรก็ตาม คุณแม่ กล่าวทิ้งท้ายว่า ตั้งแต่เกิดเหตุ ครอบครัวไม่ได้โทษฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ทุกครั้งเราทำตามระบบ เราคิดว่าตำรวจคือที่พึ่งของประชาชน เราไปแจ้งความ ถ้าคุณออกใบแจ้งความตั้งแต่ตอนนั้นเรื่องจะเร็วกว่านี้ไหม เพื่อให้เราไปติดต่อธนาคารในเช้าวันรุ่งขึ้น และธนาคารควรจะให้ความร่วมมือมากกว่านี้ไหม ต้องรอถึงเมื่อไหร่ ในขณะที่ครอบครัวพยายามทุกอย่างเพื่อให้ลูกมีชีวิตรอด แต่หน่วยงานช่วยเหลืออะไรประชาชน อยากให้เป็นอุทาหรณ์ว่าทุกครอบครัวที่เจอเรื่องแบบนี้อย่าอยู่เฉย แม้จะสูญเสีย 500 แต่พวกเขาคือคนไม่ดี

อย่างไรก็ตาม สามารถติดตามรายการ "เปิดปากกับภาคภูมิ" พร้อมกันได้ทุกวันจันทร์ถึงวันศุกร์ ตั้งแต่เวลา 15.30 น. เป็นต้นไป ได้ทางไทยรัฐทีวี ช่อง 32.