"สมศักดิ์" คิกออฟกฎหมายป้องกันทำผิดซ้ำ เตรียมใส่กำไลอีเอ็มบุคคลอันตราย หลังกฎหมายเริ่มใช้วันนี้ หวังเป็นเครื่องมือสร้างความปลอดภัยให้สังคม-ผู้หญิง แจงย้ายอธิบดีดีเอสไอ เพื่อให้องค์กรอยู่ได้ ยืนยันตรวจสอบเต็มที่ยอมไม่ได้ ลั่นตั้งใจทำงานฟอกเงิน-ยาเสพติดมาเหนื่อยมาก จะให้มาเสียหายไม่ได้
เมื่อวันที่ 23 ม.ค.66 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการป้องกันการกระทำความผิดซ้ำ โดยมี นางพงษ์สวาท กายอรุณสุทธิ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม น.ส.ณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ผู้ช่วย รมว.ยุติธรรม นายวีระกิตต์ หาญปริพรรณ์ อธิบดีกรมคุมประพฤติ แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต นายฉกรรจ์ พานิชยิ่ง รองอธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญา นายณรงค์ จุ้ยเส่ย รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ พ.ต.อ.น้ำเพชร ทรัพย์อุดม ผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมที่กระทรวงยุติธรรม เพื่อวางกรอบนโยบายในการบังคับใช้กฎหมายป้องกันการกระทำความผิดซ้ำ ที่เริ่มมีผลบังคับใช้วันนี้
โดย นายสมศักดิ์ กล่าวว่า วันนี้ พ.ร.บ.มาตรการป้องกันการกระทำความผิดซ้ำในความผิดเกี่ยวกับเพศหรือที่ใช้ความรุนแรง หรือกฎหมาย JSOC จะเริ่มมีผลบังคับใช้ ดังนั้นขอให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด เพราะกว่ากฎหมายฉบับนี้ จะสามารถออกมาสร้างความปลอดภัยให้กับสังคมได้ เราจึงต้องให้ความสำคัญกับการใช้มาตรการต่างๆตามกฎหมายฉบับนี้ โดยเฉพาะการใส่กำไลอีเอ็มกับบุคคลอันตราย รวมถึงใช้มาตรการคุมขังฉุกเฉิน หากพบว่าผู้ถูกเฝ้าระวังมีพฤติกรรมเสี่ยง ซึ่งเรื่องนี้ศาลก็กรุณาให้ความร่วมมือเปิดทำการวันเสาร์-อาทิตย์ เพื่อรองรับการขอคำสั่งคุมขังฉุกเฉินเป็นเวลา 7 วัน
จากนั้น นายสมศักดิ์ ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่า วันนี้กฎหมายป้องกันการกระทำความผิดซ้ำมีผลบังคับใช้แล้ว โดยใช้ระยะเวลาในการยกร่าง 1 ปี 7 เดือน ซึ่งจากนี้ กระทรวงยุติธรรมก็จะต้องทำกฏกระทรวงควบคู่กันไปด้วย เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้ มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยภายหลังกฎหมายมีผลบังคับใช้ ก็จะมีผู้ต้องขังที่จะพ้นโทษ จำนวน 29 ราย ในฐานความผิดเกี่ยวกับเพศ ชีวิต ร่างกาย และเสรีภาพ ต้องถูกเฝ้าระวังตามมาตรการต่างๆ อย่างการใส่กำไลอีเอ็ม สูงสุดไม่เกิน 10 ปี แต่ถ้าประพฤติตัวดี ก็สามารถขอลดระยะเวลาการใส่กำไลอีเอ็มได้ ซึ่งผู้ที่กระทำความผิด ตามที่กฎหมายฉบับนี้กำหนด ถึงแม้เกิดก่อนกฎหมายบังคับใช้ แต่เป็นคดีในชั้นศาลแล้ว ก็สามารถบังคับใช้มาตรการต่างๆตามบทเฉพาะกาลได้
...
นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ส่วนมาตรการบำบัดฟื้นฟู จะมีการเริ่มบำบัดตั้งแต่อยู่ในเรือนจำ ตามการพิจารณาของทีมแพทย์ ก่อนที่จะมีการปล่อยตัวออกมา จากนั้น จะเข้าสู่มาตรการเฝ้าระวัง ด้วยการใส่กำไลอีเอ็ม ตามที่คณะกรรมการพิจารณากำหนดมาตรการป้องกันการกระทำความผิดซ้ำ เสนออัยการ เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งใช้มาตรการต่างๆ ซึ่งหลังจากใช้ควบคุมบุคคลอันตรายแล้ว อนาคตก็จะมีการพัฒนาไปใช้กับกลุ่มผู้ติดยาเสพติด ที่เกิดอาการหลอน จนไม่มีใครสามารถควบคุมได้ จึงต้องเข้ารับการบำบัดฟื้นฟูและใส่กำไลอีเอ็มเพื่อเฝ้าระวัง เพราะต้องยอมรับว่า ยาเสพติดก็คือต้นเหตุที่ทำให้เกิดเหตุต่างๆ
ผู้สื่อข่าวถามว่า สาเหตุการโยกย้ายอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า สิ่งที่ปรับเปลี่ยนเพื่อให้องค์กรอยู่ได้ โดยต้องได้รับความเชื่อมั่นจากสังคม ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องทำให้องค์กรเดินได้ ส่วนเรื่องการตรวจสอบต่างๆ ก็ต้องดำเนินการตรวจสอบตามที่ตนตั้งกรรมการสอบไปแล้ว ซึ่งในวันพรุ่งนี้ก็จะมีการรายงานความคืบหน้าบางส่วน โดยหากพบส่วนใดผิดก็ขอยืนยันว่า จะดำเนินการอย่างเต็มที่ ไม่ละเว้นใครทั้งสิ้น เพราะเรื่องนี้ตนยอมไม่ได้ เนื่องจากตั้งใจทำงานทั้งเรื่องการฟอกเงิน ยาเสพติด มาเหนื่อยมาก จะให้มาเสียหายเพราะใครไม่ได้ พร้อมให้ความมั่นใจว่า ตนไม่มีเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา อย่างแน่นอน