จากการเปิดเผยขององค์กรอนามัยโลก ระบุว่า “โรคหัวใจและหลอดเลือด” คือโรคที่ทำให้ประชากรเสียชีวิตมากเป็นอันดับหนึ่ง และยังมากเป็นจำนวนถึง 30% เมื่อพิจารณาจากสาเหตุการเสียชีวิตทั้งหมด ขณะเดียวกันในประเทศไทยเองก็มีอัตราผู้ป่วยจากโรคหัวใจและหลอดเลือดเพิ่มมากขึ้นในทุกปี แม้ไทยจะมีความแข็งแกร่งในด้านสาธารณสุข และมีการพัฒนาขีดความสามารถในการรองรับผู้ป่วยมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ในหลายพื้นที่ก็ยังคงมีศักยภาพไม่เพียงพอที่จะดูแลผู้ป่วยอย่างเต็มประสิทธิภาพ เช่น ในส่วนของ “โรงพยาบาลสระบุรี” ที่แม้จะมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และยังเป็นโรงพยาบาลใหญ่ในภูมิภาค แต่จากการขาดแคลนบุคลากร อุปกรณ์ที่จำเป็น และหอผู้ป่วยเฉพาะทาง ก็ทำให้กระบวนการรักษาไม่อาจเดินหน้าไปด้วยความรวดเร็วดังที่ตั้งใจ
ด้วยการตระหนักถึงความสำคัญในการรับมือโรคหัวใจที่เป็นสาเหตุการตายอันดับต้นๆ จึงเป็นที่มาของการสนับสนุนครั้งสำคัญจาก “ธนาคารกสิกรไทย” ในการร่วมสมทบทุนเป็นจำนวนเงิน 33.6 ล้านบาท แก่โรงพยาบาลสระบุรี เพื่อเป็นทุนในการสร้างหอผู้ป่วยวิกฤตศัลยกรรมหัวใจและทรวงอก พร้อมจัดซื้อครุภัณฑ์ทางการแพทย์ รองรับการผ่าตัดหัวใจแบบเปิด-ผ่าตัดลิ้นหัวใจ เพื่อขยายการบริการให้ผู้ป่วยในพื้นที่จังหวัดสระบุรีและใกล้เคียง ได้รับการผ่าตัดเร็วขึ้น และยังเพิ่มโอกาสรอดชีวิตของผู้ป่วยให้มากขึ้นอีกหลายเท่าตัว
การร่วมสนับสนุนในครั้งนี้ของธนาคารกสิกรไทย นับเป็นเครื่องยืนยันอย่างดีถึงความตั้งใจของธนาคารดังที่ได้มีการประกาศเจตนารมณ์มาโดยตลอดว่า “ธนาคารกสิกรไทยพร้อมมุ่งสู่การเป็นธนาคารแห่งความยั่งยืน” โดยความยั่งยืนที่ธนาคารยึดมั่นก็คือการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในฟันเฟืองที่จะช่วยยกระดับและขับเคลื่อนคุณภาพชีวิตคนไทยให้ดียิ่งขึ้นในทุกมิติ ด้วยเทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญที่ธนาคารมีในมือ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม หรือแม้แต่ในด้านสาธารณสุข ที่ธนาคารมองว่าการยกระดับบริการด้านสุขภาพจะมีผลโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้คน โดยเมื่อประชาชนไม่ต้องกังวลเรื่องสุขภาพ เพราะสามารถเข้าถึงบริการที่ดีได้อย่างเท่าเทียม ก็สามารถเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมได้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อการเติบโตของประเทศอย่างยั่งยืนในอนาคต ด้วยเหตุนี้งบประมาณ 33.6 ล้านบาท ที่ธนาคารได้ร่วมสนับสนุน จึงไม่ใช่แค่เพียงทำให้โรงพยาบาลมีความพร้อมในการรองรับผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นการส่งเสริมการเติบโตของประเทศไทยในองค์รวมอีกทางหนึ่งด้วย
ทางด้าน นายแพทย์อนันต์ กมลเนตร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสระบุรี ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า โรงพยาบาลสระบุรีเป็นโรงพยาบาลศูนย์ระดับตติยภูมิ ขนาด 700 เตียง มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านทั้ง โรคมะเร็ง ทารกแรกเกิด อุบัติเหตุ โรคหัวใจ และการปลูกถ่ายอวัยวะ อีกทั้งทำหน้าที่เป็นศูนย์รับส่งต่อผู้ป่วยที่มีอาการซับซ้อนในจังหวัดสระบุรี และใกล้เคียง ด้วยความพร้อมนี้โรงพยาบาลจึงได้เปิดบริการศูนย์โรคหัวใจดูแลผู้ป่วยในเขตสุขภาพที่ 4 มาตั้งแต่ปี 2555 เพื่อรองรับผู้ป่วยสวนหัวใจประมาณ 800-1,000 รายต่อปี อย่างไรก็ตาม ด้วยข้อจำกัดในหลายๆ ด้านทำให้ในส่วนการผ่าตัดหัวใจแบบเปิดยังไม่สามารถให้บริการได้อย่างเต็มที่ ผู้ป่วยบางส่วนอาจมีระยะเวลารอคอย 1-2 เดือน และมากที่สุดถึง 1 ปี สำหรับการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ จึงเป็นเหตุที่ทางโรงพยาบาลต้องวางแผนพัฒนาขีดความสามารถเพิ่มเติม กระทั่งในที่สุดโรงพยาบาลได้มีแพทย์เฉพาะทางมาประจำการอีก 2 ตำแหน่ง และยังได้งบประมาณสนับสนุนจากธนาคารกสิกรไทยในครั้งนี้ จึงสามารถดำเนินการปรับปรุงพื้นที่ภายในอาคาร 100 ปี สาธารณสุขไทย ชั้น 6 เพื่อเปิดบริการหอผู้ป่วยวิกฤตสำหรับดูแลผู้ป่วยหลังผ่าตัดหัวใจ (ICU CVT) จำนวน 8 เตียง รวมทั้งจัดหาครุภัณฑ์ที่จำเป็นโดยได้ดำเนินการแล้วเสร็จในปี 2565 ที่ผ่านมา
“ทางโรงพยาบาลสระบุรีเรามีการพัฒนาศักยภาพมาโดยตลอด เพราะเราได้รับมอบหมายให้เป็นศูนย์โรคหัวใจ ซึ่งปัจจุบันเราเปิดสองห้องแต่เรายังขาดเรื่องการผ่าตัดเปิด ซึ่งเราก็พัฒนามาช่วง 3 ปีนี้ ส่วนสำคัญที่สุดก็คือหลังการผ่าตัดต้องมี ICU ที่รองรับได้ คนไข้จะได้รับการดูแลให้ปลอดภัย ซึ่งทางเราจึงคิดว่า ICU ศัลกรรมหัวใจและทรวงอกจะทำให้คนไข้ได้รับการผ่าตัดไม่ต่ำกว่าปีละ 100 ราย ซึ่งจะช่วยชีวิตคนได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้คิวที่รอการผ่าตัดสั้นลง รวมทั้งเดิมเราต้องส่งไปรักษายังโรงเรียนแพทย์ในกรุงเทพ เช่น ธรรมศาสตร์ ราชวิถี สถาบันทรวงอก ตอนนี้เราก็คิดว่าคงจะส่งน้อยลงแล้ว” นายแพทย์อนันต์ กมลเนตร กล่าวสรุปถึงข้อดีที่จะเกิดขึ้นหลังการเปิดบริการเต็มรูปแบบของหอผู้ป่วยวิกฤต
นอกจากนี้ นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย ได้กล่าวภายในงานครั้งนี้อีกว่า “เราเล็งเห็นศักยภาพของโรงพยาบาลสระบุรี เพราะจังหวัดสระบุรีเป็นจังหวัดทางผ่านระหว่างภาคกลางไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ เป็นจังหวัดสำคัญที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไม่ว่าจะเป็นด้านอุตสาหกรรม ด้านธุรกิจต่างๆ โรงพยาบาลสระบุรีมีความพร้อมเป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ มี 700 เตียง เป็นโรงพยาบาลที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะโรค เป็นศูนย์ส่งและรับต่อผู้ป่วยที่มีอาการซับซ้อนในจังหวัดและใกล้เคียง”
“สิ่งเหล่านี้ล้วนสอดคล้องไปกับทิศทางของธนาคารกสิกรไทย ที่เราต้องการจะเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน ส่วนหนึ่งของจังหวัด ส่วนหนึ่งของภาคที่เราได้ไปอยู่ ในพื้นที่ใดก็ตามที่ธนาคารกสิกรไทยอยู่เราก็อยากเห็นชีวิตของคนในพื้นที่ดีขึ้นด้วย ธนาคารกสิกรไทยเองต้องการดำเนินธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งก็หมายถึงว่ามันต้องสมดุลในทุกๆ เรื่อง เพราะเราต้องการที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศ ในการพัฒนายุทธศาสตร์ของประเทศ ในการเพิ่มการเข้าถึงบริการสาธารณสุขที่ดี แล้วก็สอดคล้องกับความเชื่อที่ว่าการมีสุขภาพที่ดีเป็นปัจจัยพื้นฐานของความมั่นคงและความเข็มแข็งของการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ เพราะฉะนั้นสิ่งดีๆ หลายๆ อย่างถึงได้มาเกิดขึ้นที่โรงพยาบาลนี้ในวันนี้”
คำพูดดังกล่าวของหัวเรือใหญ่แห่งธนาคารกสิกรไทยสะท้อนได้อย่างชัดเจนถึงหัวใจสำคัญของการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่จำเป็นต้องเติบโตไปด้วยกันทุกภาคส่วนด้วยการวางรากฐานให้มั่นคงแข็งแกร่ง โดยเฉพาะบริการด้านสุขภาพที่เป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีในองค์รวม โดยนอกจากนี้ ธนาคารกสิกรไทย ยังสนับสนุนในด้านสาธารณสุขอีกหลายประการ อาทิ การร่วมพัฒนาดิจิทัลเฮลท์แคร์แพลตฟอร์มเพื่อเพิ่มศักยภาพการให้บริการด้านสุขภาพให้แก่โรงเรียนแพทย์ และโรงพยาบาลภาครัฐขนาดใหญ่ต่างๆ รวมทั้งการพัฒนาแอปพลิเคชัน “หมอพร้อม” ของกระทรวงสาธารณสุข และ “หมอ กทม.” ของกรุงเทพมหานคร นอกจากนี้ ในอนาคตธนาคารจะมีการพัฒนาโครงการเพื่อช่วยส่งเสริมให้ประชาชนสามารถใช้บริการจากผู้ให้บริการขนาดเล็กที่มีคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นผู้ให้บริการคลินิก หรือบริการผ่านเทคโนโลยีที่เรียกว่าเฮลท์เทคได้อย่างทั่วถึง
แม้จะปฏิเสธไม่ได้ว่ากระบวนการเพื่อความยั่งยืนเป็นสิ่งที่ทำไม่ง่ายนัก และต้องใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล แต่จากทุกๆ การขับเคลื่อนที่ธนาคารกสิกรไทยได้เริ่มต้นไปแล้ว ก็นับเป็นการออกเดินที่เราต่างคาดหวังได้ถึงผลลัพธ์ที่งดงามในอนาคต นอกเหนือไปกว่านั้น การเดินหน้าบนเส้นทางแห่งความยั่งยืนของธนาคารกสิกรไทยยังไม่ใช่การเดินเพียงลำพัง แต่พร้อมจะจับมือทุกภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับส่วนสำคัญที่สุดอย่าง “ผู้คนในสังคม” ให้เดินหน้าไปด้วยกันอย่างมั่นคง เพื่อจุดหมายปลายทางที่หมายถึงความยั่งยืนของประเทศไทยอย่างแท้จริง