“ชีวิต”...ของคนเราย่อมมีทั้งสุขและทุกข์คละเคล้ากันไประยะใด “ความสุข” มาเยือนระยะนั้นความทุกข์ก็จะหายไป แต่ในขณะเดียวกันในช่วงที่เรามีแต่ “ความทุกข์” แล้วก็อย่าหวังเลยว่าความสุขจะเกิดขึ้นกับตัวเรา

ทุกข์กับสุขได้เกิดขึ้นกับ...“กรรมคือการกระทำ” เป็นที่ตั้ง กระทำกรรมที่ดีย่อมได้รับแต่ความสุขกระทำกรรมที่ชั่วก็ย่อมจะได้รับแต่ความทุกข์ ดังนั้นในชีวิตของเราขอจงดำเนินไปให้ถูกต้อง...อยู่ในกรอบของศีลธรรมอันดีงามของศาสนา ด้วยการรู้จักนำเอาหลักธรรมคำสอนของศาสนามาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน

ไม่ว่าเราจะประกอบอาชีพใดๆก็ตาม ขอจงเลือกเอาธรรมะข้อใดข้อหนึ่งมาประยุกต์ใช้เป็นประการสำคัญ จะได้ชื่อว่าเป็นผู้นับถือศาสนาแล้วประสบความสำเร็จในชีวิต ดังมีข้อย่อยนำมาให้รับรู้...เลือกเอานำไปประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวันต่อไปคือ....

ประการที่หนึ่ง...คนเราที่ดำเนินชีวิตอยู่ทุกวันนี้ล้วนพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันทั้งนั้น อาจจะในทางตรงบ้างในทางอ้อมบ้าง จึงจำเป็นต้องรู้จักคำว่า “ให้” หรือทางพระเรียกว่า “ทาน”

...

“การให้เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในยุคปัจจุบัน ผู้ให้ย่อมเป็นที่รักของผู้ถูกให้”

นับตั้งแต่ให้วัตถุสิ่งของเพื่อการดำรงชีพเรียกว่า “อามิสทาน” ทานชนิดนี้สามารถทำให้มนุษย์เรามีชีวิตดำรงคงอยู่ได้เพราะเป็นการให้ปัจจัยสี่คือ ให้อาหารของอุปโภคบริโภค ให้เครื่องนุ่งห่มสำหรับให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย ให้ที่อยู่อาศัยได้พักพิงหลับนอนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

และให้การดูแลรักษาพยาบาลเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา นี่เรียกว่า... “อามิสทาน”

ประเด็นต่อมาเป็นการให้เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจในการดำเนินชีวิตเรียกว่า “ธรรมทาน” ทานชนิดนี้สามารถทำให้มนุษย์มีความรู้ ความเข้าใจ แล้วนำไปประยุกต์ใช้ในการประกอบอาชีพในการดำเนินชีวิตได้อย่างดียิ่งถือว่าเป็นการให้ที่ยิ่งใหญ่กว่าการให้ทั้งปวง

เพราะการให้ชนิดนี้สามารถใช้ได้ตลอดทั้งชีวิตโดยไม่มีวันหมดไป และการให้อีกชนิดหนึ่งที่ควรจะมีให้มากในสังคมของเราในโอกาสขึ้นปีใหม่คือ...“อภัยทาน” หมายถึงการให้โอกาส ให้อภัยซึ่งกันและกันในสิ่งที่เคยกระทำผิดพลาดไปแล้ว ไม่มีมนุษย์คนใดที่ยังมีกิเลสกันอยู่แล้วไม่เคยผิดพลาดหรือบกพร่อง...

เมื่อบกพร่องหรือผิดพลาดไปแล้วก็สำนึกผิดโดยรับใช้กรรมไปแล้วบ้าง ยังไม่ได้ใช้กรรมไปบ้าง การอโหสิกรรมซึ่งกันและกันในยุคปัจจุบันจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะการไม่จองเวรล้างผลาญซึ่งกันและกันนับว่าเป็นการ...“ให้โอกาสที่ดีที่สุดของมนุษย์เรา”

คนที่เคยผิดพลาดไปแล้ว ยอมรับผิดแล้วหันมากลับตัวกลับใจกันใหม่ก็ย่อมเป็น “ความสดใส” ของชีวิต ดังนั้นการให้จึงเป็นบรรทัดฐานทางศีลธรรมที่ดีงาม ไม่ว่าจะเป็นการให้อามิสทานหรือให้ธรรมทานรวมถึงให้อภัยทาน ในที่สุดย่อมก่อให้เกิดความสุขแก่เพื่อนมนุษย์ร่วมโลกเดียวกันเพราะสาเหตุมาจาก...การให้...นี่เอง

ประการที่สอง...คนเราจะอยู่แห่งหนตำบลใดก็ย่อมมีกฎและกติกาของการอยู่ร่วมกัน เพื่อเป็นการยับยั้งมิให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งไปสร้างความเสียหายหรือความเดือดร้อนให้กับคนอื่น ถ้าเป็นระดับท้องถิ่นมักเรียกว่าจารีตประเพณีและวัฒนธรรมของท้องถิ่นนั้นๆ ถ้าระดับประเทศก็เรียกว่า “กฎหมาย” นั่นเอง

...เป็นกฎกติกาที่ทุกคนจะต้องปฏิบัติตามโดยไม่มีการฝ่าฝืนใดๆทั้งสิ้น ถ้าทางศาสนาก็เรียกว่า “ศีล” คนเราย่อมมีศีลเป็นของตนเอง ดังชาวพุทธที่นับถือพระพุทธศาสนาก็จะมีศีลหรือถือศีลของตนเอง

...

นับตั้งแต่อุบาสกคือ “โยมผู้ชาย” และอุบาสิกาคือ “โยมผู้หญิง”...ดำรงชีวิตอยู่ในสถานะผู้ครองเรือนก็นับถือศีลห้าข้อเป็นของตนเอง ถ้าเป็นนักพรตนักบวชก็จะถือศีลนับตั้งแต่เป็นสามเณรก็ถือศีล 10 ข้อ ถ้าเป็นพระภิกษุก็ถือศีล 227 ข้อ ถ้าเป็นอุบาสกอุบาสิกาเข้าวัดฟังธรรมในทุกวันพระก็ถือศีล 8 ข้อ เป็นต้น

“ศีล” จึงเป็นข้อห้ามที่ดียิ่งที่จะมิให้มนุษย์เราสร้างความลำบากหรือความเดือดร้อนให้กับคนอื่น ในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้บุคคลนั้นกลายเป็นคนดีที่มีแต่เสน่ห์ คนที่อยู่ใกล้ก็รู้สึกว่าร่มเย็นเป็นสุข สุขทั้งกายและสุขทั้งใจเมื่อเข้าใกล้หรืออยู่ใกล้บุคคลที่เต็มเปี่ยมไปด้วย “ศีล”

พระมหาสมัย จินฺตโฆสโก ประธานมูลนิธิกลุ่มแสงเทียน เจ้าอาวาสวัดบางไส้ไก่ กทม. ย้ำว่า ศีลจึงเป็นหนทางนำไปสู่ความเป็นคนดี ศีลย่อมเป็นเหตุให้เจริญด้วยโภคทรัพย์ ศีลย่อมนำไปสู่ความดับที่กิเลสทั้งปวง ดังนั้นทุกชีวิตจึงควรมี “ศีลของตนเอง” เป็นที่ตั้ง ของขวัญปีใหม่และพรปีใหม่จึงเกิดขึ้นจากที่เรามีศีลนี่เอง

ประการที่สาม...คนเราจะใช้ชีวิตทุกลมหายใจต้องมีการรู้จักข่มจิตข่มใจ เมื่อเกิดความโลภก็มีสติอยู่ตลอดเวลา เมื่อมีความโกรธก็มีสติอยู่ตลอดเวลา เมื่อมีความหลงก็ต้องมีสติอยู่ตลอดเวลา การบำเพ็ญเพียรทางใจหรือการรู้จักใช้ภาวนาก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งในการดำเนินชีวิตให้แคล้วคลาดปลอดภัยและมีความสุขได้

...

การบำเพ็ญเพียรทางใจหรือเรียกว่า “จิตตภาวนา” ยิ่งมีความหมายและมีความสำคัญอย่างยิ่งในปัจจุบัน คนที่รู้จักฝึกจิตให้เกิดความแน่วแน่คือให้เกิดสมาธิแล้ว การที่จะคิด จะพูด จะทำก็มีการไตร่ตรองมากขึ้น

จึงกลายเป็น “ความรอบคอบ” ที่จะป้องกันความผิดพลาดขึ้นมาได้

“คนที่ฝึกจิตดีแล้วย่อมนำมาซึ่งความสุข การทำความดีให้กับตนเองในโอกาสขึ้นปีใหม่นี้ การบำเพ็ญเพียรทางใจจึงเป็นการมอบของขวัญปีใหม่ให้กับตนเองได้เช่นเดียวกัน อย่างน้อยคนที่มีสติรอบคอบก็จะไม่ไปสร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่น คนที่มีภาวนาในใจย่อมเป็นคนที่มีแต่ความเมตตา

...มีความรักความปรารถนาดีต่อผู้อื่น ไม่โกรธ ไม่อาฆาต ไม่จองเวร ไม่ตกเป็นทาสของโทสะ ดังนั้นการทำความดีให้กับตนเองและผู้อื่นด้วยการเจริญภาวนาจึงเป็นทางเลือกที่ดียิ่งอีกประการหนึ่ง”

ประการที่สี่...คนเราจะใช้ชีวิตอยู่ในสถานการณ์เช่นใดก็ตามล้วนต้องการความสุขด้วยกันทั้งนั้น แต่ความสุขจะไม่เกิดขึ้นเลยถ้าใช้ชีวิตเกี่ยวข้องกับอบายมุขคือทางแห่งความเสื่อมความหายนะ

...

“หากยังเป็นเช่นนี้ปีใหม่จะมีกี่ครั้งก็มิได้สร้างความหวัง ความสุขแก่เราเลย จึงขอให้ท่านได้ตระหนัก...ห่างไกลให้มากที่สุด ช่วยป้องกันมิให้ภัยร้ายเหล่านี้เข้ามามีบทบาท มีอำนาจจนครอบงำชีวิตของเรา ปีใหม่เราสามารถมีความสุขได้โดยปราศจากอบายมุขและจะมีความสุขในระยะยาวได้ตลอดทั้งปี”

แต่ถ้าอบายมุขครอบงำแล้วก็อย่าหวังเลยว่าชีวิตนี้และปีใหม่นี้จะมีความสุข ซ้ำร้ายความทุกข์ก็จะเข้ามาเยือนจนกลายเป็น “ปีแห่งความ
โชคร้าย” ไปในที่สุด

สุดท้าย ประการที่ห้า...คนเราในขณะที่มีลมหายใจอยู่นี้ ขอจงอย่าใช้ชีวิตอยู่บนหนทางแห่งความประมาท ความประมาทเป็นหนทางแห่งความตาย ไม่ว่าในวัย...เพศ...ยศ...สมบัติ...ครอบครัว...สังคม...หน้าที่การงาน...การดำรงชีพใด พระพุทธองค์จึงตรัสสอนมนุษย์เราว่า “ขอจงอย่าตั้งตนอยู่ในความประมาทกันเถิด”

“ปีใหม่”...พรใดจะไม่เลอเลิศเท่ากับตัวเราให้พรแก่ตนเองเพราะเราทำความดีด้วยการรู้จักให้ทาน รู้จักรักษาศีลและรู้จักเจริญจิตตภาวนา ส่งความรักความปรารถนาดีต่อผู้อื่น ไม่ปล่อยตนเองให้ไปเกี่ยวข้องกับอบายมุขทั้งหกชนิด ใช้ชีวิตไม่ตั้งอยู่บนความประมาททุกกรณี เหล่านี้ล้วนจะกลายเป็น “พรอันประเสริฐ”

นี่คือ “ของขวัญปีใหม่” จากเงื้อมมือของเรา จะกลายเป็นความสุขที่จีรังยั่งยืนตลอดไปความดีของเราเท่านั้นที่จะเป็นเกราะกำบังมิให้เภทภัยอันตรายใดๆมาถึงตัวเรา.