ไวรัสที่ติดง่ายอย่าง “โอมิครอน” หรือ “เดลตา” จริงๆแล้วไม่ได้ติดง่ายเพราะอยู่ในอากาศ หรือพื้นผิวได้นานกว่าไวรัสสายพันธุ์เก่า ข้อมูลจากห้องปฏิบัติการของ NIH ในสหรัฐอเมริกา พบว่าไวรัสกลุ่มโอมิครอนมีความคงทนในสภาวะแวดล้อมภายนอกร่างกายคนติดเชื้อที่ “น้อยกว่า” สายพันธุ์ดั้งเดิมมากที่สุด เมื่อเทียบกับไวรัสรุ่นก่อนๆดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา นักไวรัสวิทยา สวทช. ให้มุมมองไว้ว่า ดังนั้นสาเหตุที่เราติดไวรัสชนิดนี้ได้ง่ายกว่าสายพันธุ์เดิมมาก คงไม่ใช่เพราะไวรัสคงทนขึ้นในอากาศหรือทำลายได้ยากขึ้นบนพื้นผิว แต่น่าจะเป็นเพราะไวรัสปรับตัวให้จับเซลล์ในร่างกายเราดีขึ้นและหนีภูมิคุ้มกันที่อยู่ในตำแหน่งสำคัญ เช่น ในจมูกได้ดีขึ้นเกี่ยวกับ “ยาต้านไวรัส” กับความสามารถในการ “แพร่เชื้อ”ย้อนไปช่วงเดือนพฤศจิกายนช่วงเวลานั้นคนติดโควิดกันเยอะขึ้น ยาต้านไวรัสทั้งแพกซ์โลวิด...ขอย่อว่า Pax และโมลนูพิราเวียร์...ขอย่อว่า MolV มีพร้อมใช้งานมากขึ้น ความสามารถของยาต้านในการยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัสมีข้อมูลประกอบมากพอสมควรแต่...คำถามข้อนึงที่ยังไม่มีข้อมูลยืนยันคือ ผู้ป่วยที่อยู่ในช่วงใช้ยาต้านมีความสามารถแพร่กระจายเชื้อในร่างกายให้คนอื่นมากแค่ไหน ซึ่งเป็นคำถามที่น่าสนใจและคงเป็นประโยชน์ ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนางานวิจัยชิ้นหนึ่งได้เผยแพร่ออกมาเป็น Pre-print จากทีมวิจัยในสหรัฐอเมริกา เปรียบเทียบประสิทธิภาพของ Pax และ MolV ในสัตว์ทดลอง 2 ชนิด ชนิดแรกเป็น หนูแฮมสเตอร์ ที่จะตอบสนองต่อการติดเชื้อได้ไว และเชื้อสามารถลงปอดและส่งผลให้สัตว์ทดลองตายได้ชนิดที่สองคือ เฟอเรท...สัตว์หน้าตาคล้ายพังพอน ซึ่งติดโควิดได้แต่ไม่มีอาการรุนแรง เชื้อจะไปอยู่ที่ทางเดินหายใจส่วนบน และสามารถแพร่กระจายเชื้อไปสู่เฟอเรทตัวอื่นๆได้ทีมวิจัยได้นำแฮมสเตอร์มาทดสอบประสิทธิภาพของยาต้านทั้งสองต่อการป้องกันอาการรุนแรงที่จะติดลงสู่ปอด พบว่าหนูที่ได้ยาทั้ง 2 ชนิด สามารถมีชีวิตรอดจากการติดเชื้อได้ดี ในขณะที่หนูตัวอื่นๆอาการหนักและส่วนใหญ่ตาย ผลยืนยันว่ายาต้านทั้งสองช่วยป้องกันอาการรุนแรงในหนูได้ดีมากสำหรับผลในเฟอเรทนั้นมีอะไรที่น่าสนใจครับ ทีมวิจัยออกแบบการทดลองโดยใช้เฟอเรทที่ติดเชื้อแล้วให้ยาต้านแต่ละชนิดตามไปหลังติดเชื้อ...ในขนาดที่เท่าๆกับให้คนเทียบกับน้ำหนักตัว หลังจากนั้นนำเฟอเรทติดเชื้อที่ได้รับยาต้านเลี้ยงรวมกับเฟอเรทปกติเป็นเวลา 2 วันหลังจากนั้นก็แยกเฟอเรทปกติออกมาเพื่อติดตามการติดเชื้อจากตัวอย่างในช่องจมูกเป็นเวลา 4 วัน ผลการทดลองพบว่าเฟอเรทที่ได้รับยา Pax สามารถแพร่กระจายเชื้อต่อให้กับเฟอเรทตัวอื่นได้ เมื่อเทียบกับเฟอเรทที่ได้ยา MolV ในการศึกษานี้พบว่าไม่สามารถแพร่เชื้อต่อให้เฟอเรทตัวอื่นได้หรือได้น้อยมากๆ ผลการทดลองชุดที่สองคือ การนำเฟอเรทที่ติดเชื้อไปเลี้ยงรวมกับตัวปกติที่ให้ยาต้านแต่ละชนิดไปด้วยเป็นเวลา 6 วัน และติดตามการติดเชื้อไวรัสในเฟอเรทปกติเหล่านั้น ผลที่ได้มาคือเฟอเรทกลุ่มที่ได้ยา Pax รอไว้ก่อน ทุกตัวติดเชื้อจากการอยู่รวมกับเฟอเรทติดเชื้อ แต่กลุ่มที่ได้ยา MolV ไม่พบการติดเชื้อทีมวิจัยสรุปว่าการใช้ยา MolV อาจส่งผลให้เฟอเรท ป้องกันการติดเชื้อในสภาวะที่อยู่รวมกับสัตว์ที่ติดเชื้ออย่างใกล้ชิดได้ แต่ Pax อาจไม่มีคุณสมบัตินั้น...ทั้งนี้งานวิจัยนี้ยังต้องมีข้อมูลสนับสนุนจากมนุษย์ด้วยนะครับ ซึ่ง...ตอนนี้ยังไม่มีเรื่องเล่าจากแล็บช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ดร.อนันต์ บอกว่า เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนได้รับตัวอย่างน้ำลายจากผู้ป่วยโควิดรายหนึ่ง เคสนี้น่าสนใจตรงที่ว่าเป็นเคสที่เพิ่งหายป่วยจากโควิดเมื่อประมาณไม่ถึง 3 เดือนทำให้เป็นไปได้สูงว่าการติดโควิดซ้ำนี้น่าจะมาจากไวรัสที่มีการเปลี่ยนแปลงหนีภูมิคุ้มกันได้ดีหลังจากที่เพาะเชื้อสำเร็จ ก็ทำการโคลนยีนหนามสไปก์และส่งถอดรหัสพันธุกรรม ในขณะที่รอผลการถอดรหัส ทีมวิจัยได้ทดสอบสมมติฐานว่าไวรัสชนิดนี้หนีภูมิได้ในระดับไหน?เราได้นำไวรัสดังกล่าวมาบ่มกับแอนติบอดีชนิด monoclonal antibody ที่เป็นหนึ่งในแอนติบอดีที่สามารถยับยั้งไวรัสโอมิครอน BA.2 และ BA.5 ได้ดีมาก (ขออนุญาตสงวนชื่อทางการค้าของแอนติบอดีนะครับ) และ...บ่มกับตัวอย่างซีรั่มของผู้เคยติดเชื้อโควิด 2 ราย แล้วมีโอกาสได้รับวัคซีน mRNA ชนิด bivalent มาเมื่อประมาณ 1-2 เดือนที่ผ่านมา และ...สุดท้ายบ่มกับสารสกัดจากพืชชนิดหนึ่งที่ทีมวิจัยพบว่ามีฤทธิ์ยับยั้งการเข้าสู่เซลล์ของไวรัสได้ (หนึ่งในผู้ได้รับการคัดเลือกที่ทีมวิจัยได้ทุนวิจัย วช.ในการหาสารยับยั้งต้านไวรัส)การบ่มแอนติบอดีหรือสารสกัดกับไวรัสใช้เวลาเท่ากัน โดยปริมาณที่ใช้จากมากไปหาน้อยหลุมที่ 1 คือมากสุด และหลุมที่ 5 คือน้อยสุด ส่วน หลุมที่ 6 เป็นไวรัสเปล่าๆ เพื่อเป็นกลุ่มควบคุมปริมาณไวรัสที่ใช้และปล่อยให้ไวรัสติดเซลล์ประมาณ 24 ชั่วโมง หลังจากนั้นทำการย้อมเซลล์จะเห็นจุดดำๆคือเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัส“เราใช้จำนวนจุดเป็นตัวแทนจำนวนไวรัสที่ถูกยับยั้งการเข้าเซลล์ได้เทียบกับหลุมที่ไม่มีสารยับยั้งผลที่ได้ชัดเจนว่าไวรัสตัวที่ทีมวิจัยแยกออกมาได้หนีแอนติบอดีได้แบบ 100% คือ ความเข้มข้นสูงสุดไม่มีผลต่อการยับยั้งการเข้าของไวรัสเลย ส่วนภูมิจากวัคซีนดูเหมือนจะสามารถยับยั้งไวรัสได้ระดับหนึ่ง”จุดที่ยับยั้งไวรัสได้ประมาณครึ่งหนึ่งคือ ความเข้มข้นในหลุมที่ 2 ซึ่งคือ 1 : 200 ซึ่งเป็นค่าที่ไม่สูงมาก แต่ยังเพียงพออยู่ ที่น่าสนใจคือสารสกัดสามารถยับยั้งไวรัสชนิดนี้ได้ดี ไม่แตกต่างจากไวรัสสายพันธุ์อื่นๆ ซึ่งเหมือนจะบอกว่ากลไกการยับยั้งของสารสกัดอาจไม่ขึ้นกับตำแหน่งที่สไปก์กลายพันธุ์ไปเพื่อหนีการจับของแอนติบอดี...ความสนใจของทีมวิจัยตอนนี้คือสารสกัดดังกล่าวจับสไปก์อย่างไรถึงยับยั้งไวรัสได้หลังจากที่ผลการถอดรหัสออกมา ทีมวิจัยก็พบว่าไวรัส (ตั้งชื่อว่า PSD ตามชื่อผู้ติดเชื้อ ไม่ใช่ชื่อตามระบบนะครับ) ที่แยกได้ จริงๆแล้วเป็นลูกหลานของไวรัส BA.2.75 แต่เป็น BA.2.75 ที่มีการเปลี่ยนแปลงของตำแหน่งสำคัญเพิ่มขึ้นอีก 4 ตำแหน่ง ส่งผลให้ PSD อยู่ในอันดับที่สูงกว่า BQ.1.1 แต่ต่ำกว่า XBB...มีความใกล้เคียงกับสายพันธุ์ CH.1.1 แต่ไม่เป๊ะ ถ้าจัดตามตำแหน่งการกลายพันธุ์ ข้อมูลนี้สอดคล้องกับผลทดสอบข้างต้น ซึ่งตอนนี้สายพันธุ์ที่อยู่ในประเทศไทยมีความหลากหลายพอสมควร ไวรัสในลักษณะแบบ PSD น่าจะหาได้อีกไม่ยาก ข้อมูลจากอาร์เจนตินา ในตัวอย่างมากกว่า 840,000 คน พบว่าเด็กอายุ 3-12 ปีที่ได้รับวัคซีน 2 เข็ม เทียบกับวัยรุ่น (13-17 ปี) ที่ได้ 2 เข็มเช่นกัน “ภูมิคุ้มกัน” จากวัคซีนต่อการป้องกันการติดเชื้อและอาการหนักถึงเสียชีวิตต่อโอมิครอนต่างกันพอสมควร วัคซีน 2 เข็มป้องกันการติดเชื้อในทั้ง 2 กลุ่มได้ต่ำมากคือ 15.9% และ 26%ถ้ามองว่าติดแล้วก็ไม่เป็นไรเพราะโอมิครอนไม่รุนแรง ลองดูตัวเลขประสิทธิภาพการป้องกันการเสียชีวิตในเด็กจากโอมิครอนมีแค่ 66.9% เทียบกับกลุ่มวัยรุ่นที่แข็งแรงกว่าคือ 97.6% ตัวเลขนี้ค่อนข้างชัดเจนว่ากลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี ที่ได้รับวัคซีนฐานเพียงแค่ 2 เข็ม มีความเสี่ยงใกล้เคียง หรืออาจจะมากกว่ากลุ่ม 608เพราะเชื่อว่า 608 ของบ้านเราได้เข็มกระตุ้นในเปอร์เซ็นต์ที่มากกว่าเด็กมาก ดร.อนันต์ฝากว่า ก่อนที่หลายคนจะไปรับเข็ม 6 เข็ม 7 กัน ให้พิจารณาเข็ม 1–3 ให้เด็กๆที่บ้านก่อนนะครับ.