- โควิดไทยป่วยเพิ่ม สธ.แจงเป็นไปตามคาดการณ์แบบระลอกเล็ก เชื่อหลังปีใหม่สถานการณ์ติดเชื้อลดลง เผย 6 สาเหตุหลักทำยอดป่วยช่วงนี้เพิ่ม จับตาลูกหลานโอมิครอนจ่อระบาดเพิ่ม เตือนคนติดโควิดซ้ำ เสี่ยงตาย-ป่วยหนัก
สถานการณ์โควิดไทยตอนนี้ มีการติดเชื้อรอบตัวมากขึ้นอย่างชัดเจน จากรายงานอย่างทางการเกี่ยวกับจำนวนผู้ป่วยที่ต้องรักษาตัวใน รพ. ส่วนยอดผู้เสียชีวิตล่าสุดพบมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และส่วนใหญ่ยังเป็นกลุ่มเสี่ยงที่ไม่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น!!!
รับยอดป่วยพุ่ง เปิด รพ.ฉีดวัคซีน เตรียมรับระลอกเล็ก เชื่อหลังปีใหม่ติดเชื้อลดลง
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงสถานการณ์โควิด-19 ว่า ขณะนี้จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น รพ.ทั่วประเทศรายงานว่าแต่ละแห่งยังรองรับสถานการณ์ได้ แม้ผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเนื่องจากส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง รักษาแบบผู้ป่วยนอก แพทย์ให้ยาตามที่วินิจฉัย ส่วนการรักษาใน รพ. ผู้ป่วยยังไม่ได้เพิ่มแบบมีนัยสำคัญ ส่วนการระบาดรอบนี้ทุกอย่างยังเป็นไปตามที่คาดการณ์ เป็นลักษณะของระลอกเล็ก หรือ Small Wave การมีผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเพิ่มขึ้นนั้น ก็ยังอยู่ในการคาดการณ์จะเพิ่มตามวงรอบ คือ ช่วง พ.ย. และ ธ.ค. หลังปีใหม่จะค่อยๆ ลดลง
...
เผย 6 สาเหตุหลัก ทำไมช่วงนี้? ยอดป่วยขาขึ้น
ส่วนสาเหตุที่ช่วงนี้ผู้ป่วยโควิดกลับมาเพิ่มขึ้นนั้น ผศ.นพ.โอภาส พุทธเจริญ หัวหน้าศูนย์โรคอุบัติใหม่ทางคลินิก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เปิดเผยถึงปัจจัยหลักที่ทำให้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 กลับมาเพิ่มขึ้นว่า
- 1.น่าจะเป็นจากการมีกิจกรรมที่ใกล้ชิดกันมากขึ้น บวกกับการผ่อนคลายการใส่หน้ากากอนามัย
- 2.ยังไม่เห็นว่ามีกลายพันธุ์ไวรัสใหม่ทำให้เกิดการระบาด จากข้อมูลศูนย์โรคอุบัติใหม่ด้านคลินิก (สนับสนุนจาก WHO) BA.5 ยังเป็นสายพันธุ์ที่พบมากที่สุด รองลงมาเป็น BA.4 และมี BA.2.75 ปนมาประมาณ 5% (ข้อมูลจนถึงต้นเดือน พ.ย.) แต่ยังคงต้องติดตามการเปลี่ยนสายพันธุ์ไปอีก
- 3.คนที่ติดในรอบนี้บางคนเคยติดโควิดมาก่อนในระลอกที่มี เดลตา หรือ โอมิครอน BA.2 ระบาด รอบนี้ติดซ้ำ ซึ่งพบคนที่ติดซ้ำรอบนี้ประมาณ 8% คาดว่าจะมีการติดเชื้อซ้ำๆ ได้อีก
- 4.จับตาการกลายพันธุ์ของ BA.5 เป็น BQ.1 ซึ่งอาจจะลดการตอบสนองต่อ EVUSHELD คาดว่าอีกสักพักอาจจะเห็น BQ.1 เพิ่มขึ้นในประเทศ แต่ขึ้นช้าๆ แนวโน้มอาจจะเห็นการระบาดของไวรัสหลายสายพันธุ์พร้อมกัน แต่อาการมักไม่รุนแรงในคนที่ยังมีภูมิจากวัคซีน
- 5.จากที่ได้มีโอกาสตรวจระดับภูมิคุ้มกันในงานวิจัย พบว่า คนที่ฉีดวัคซีนเข็มสุดท้ายเกินหกเดือนบางคน ภูมิตกลงอาจจะไม่พอป้องกันไวรัสสายพันธุ์ BA.5 ดังนั้นคนสูงอายุที่มีความเสี่ยงโรครุนแรงน่าจะต้องรีบไปกระตุ้น เพื่อป้องกันอาการหนัก โดยเฉพาะก่อนปีใหม่ที่การระบาดมีโอกาสเพิ่มมากขึ้น
- 6.รอบนี้คนติดที่ไม่ได้มาตรวจอาจจะมีจำนวนมาก เนื่องจากตรวจได้เองที่บ้านกับรักษาตามอาการได้เอง คนที่อาการรุนแรงจะยังไม่มีจำนวนมาก แต่จะค่อยสูงขึ้นช้าๆ และมีโอกาสเตียงแน่นในบางโรงพยาบาล
จับตา "โอมิครอน" สายพันธุ์ย่อย จ่อแพร่ระบาดเพิ่มขึ้น
รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ในแต่ละวันของทั่วโลกตอนนี้มาจากทวีปเอเชียและยุโรป รวมกันคิดเป็น 93.98% ของทั้งโลก ในขณะที่จำนวนการเสียชีวิตคิดเป็น 86.24% ล่าสุด องค์การอนามัยโลก (WHO) ออกรายงานว่า ปัจจุบันไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนครองการระบาดทั่วโลก 99.2% ทั้งนี้หากวิเคราะห์สายพันธุ์ย่อยหลักจะพบว่า BA.5 มีสัดส่วน 73.2%, BA.2 เหลือ 6.3%, BA.4 ลดลงเหลือ 3.5% และสายพันธุ์ย่อยอื่นที่ยังไม่ได้ระบุ 14.4%
สำหรับสายพันธุ์ย่อยที่เป็นที่จับตามองในขณะนี้ เพราะเกิดจากการกลายพันธุ์ต่อยอดจากกลุ่ม BA.5 และ BA.2 พบว่าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ได้แก่
- 1) BQ.1.x เพิ่มเป็น 16.2%
- 2) BA.5 ที่กลายพันธุ์เพิ่มหลายตำแหน่ง (R346X, K444X, V445X, N450D and/or N460X) เพิ่มเป็น 23.3% โดยกว่า 80% ของกลุ่มนี้ เป็น BA.5 ที่มีการกลายพันธุ์ตำแหน่ง R346X
- 3) BA.2.75 เพิ่มเป็น 5.4%
- 4) XBB เพิ่มขึ้นเล็กน้อย อยู่ที่ระดับ 2%
...
มีแนวโน้มกลายพันธุ์ดุคล้าย "เดลตา" เสี่ยงทำป่วยหนัก
สำหรับ "โอมิครอน" สายพันธุ์ย่อยที่กลายพันธุ์ และมีแนวโน้มใช้กลไกคล้าย "เดลตา" มากขึ้นนั้น โดยงานวิจัยของ Aggrawal A และคณะจากมหาวิทยาลัยนิวเซาธ์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย เผยแพร่ในวารสารการแพทย์สากล eBioMedicine เมื่อเดือนตุลาคม 2565 ชี้ให้เห็นลักษณะการเปลี่ยนแปลงของไวรัสโอมิครอนสายพันธุ์ย่อยใหม่ๆ ที่กลายพันธุ์ต่อยอดจาก BA.5 ซึ่งเกิดขึ้นในปัจจุบันว่า มีแนวโน้มย้อนกลับไปใช้กลไกการจับเซลล์ผ่านตัวรับ TMPRSS2 คล้ายกับสายพันธุ์ "เดลตา" มากขึ้น ทั้งนี้เราทราบกันดีว่ากลไกนี้จะทำให้จับกับเซลล์ทางเดินหายใจส่วนล่างได้มากขึ้น จึงอาจทำให้ผู้ที่ติดเชื้อมีอาการป่วยรุนแรงได้มากกว่า "โอมิครอน" สายพันธุ์ก่อนๆ เช่น BA.1, BA.2, BA.4 และแม้แต่ BA.5 ซึ่งเคยได้รับการพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าใช้กลไกอื่นในการติดเชื้อเข้าสู่เซลล์คือ endocytosis
...
แนะลดละเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง ย้ำใส่แมสก์อย่างถูกต้องช่วยลดการติดเชื้อได้มาก
สำหรับประเทศไทยตอนนี้มีการติดเชื้อเพิ่มขึ้นมากอย่างชัดเจน ซึ่งจำเป็นต้องตระหนักถึงสถานการณ์ และอัปเดตความรู้ที่ถูกต้องและทันต่อเวลา นอกจากนี้ประชาชนควรใช้ชีวิตอย่างมีสติ ไม่ประมาท ลดละเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง สถานที่เสี่ยง แออัด ระบายอากาศไม่ดี อีกทั้งต้องหมั่นสังเกตอาการตนเองและคนรอบข้างที่พบปะ หากไม่สบาย ไอ เจ็บคอ ไข้ ปวดหัว ปวดกล้ามเนื้อ คัดจมูก เสียงเปลี่ยน/เสียงแหบ ให้คิดถึงโควิด-19 ไว้ด้วยเสมอ และควรทำการตรวจรักษา ไม่คลุกคลีกับผู้อื่น นอกจากนี้การใส่หน้ากากอนามัยที่ถูกต้องระหว่างเรียน ทำงาน ท่องเที่ยว พบปะบุคคลอื่น หรืออยู่นอกบ้าน จะช่วยลดความเสี่ยงลงไปได้มาก
...
เตือนติดโควิดซ้ำเสี่ยงตาย 2 เท่า ป่วยหนัก 3 เท่า!
นพ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา ระบุว่า ไม่ควรติดโควิด-19 ซ้ำ เพราะอาจทำให้เป็นสาเหตุการเสียชีวิตมากขึ้นถึง 2 เท่า และป่วยหนักมากขึ้น 3 เท่า จากสถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลกที่ระบาดต่อเนื่องกันมาเกือบ 3 ปีเต็ม ที่พบผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตจำนวนมาก ตลอดจนมีการกลายพันธุ์ของไวรัสมากขึ้น จึงทำให้มีประชากรโลกติดโควิดซ้ำเป็นครั้งที่ 2 มากขึ้นด้วย ดังนั้นจึงมีการศึกษาว่าผู้ที่ติดโควิดซ้ำครั้งที่ 2 ขึ้นไป จะมีความเสี่ยงด้านต่างๆ มากน้อยแค่ไหน เมื่อเทียบกับผู้ที่ติดโควิดครั้งแรก
ติดโควิด-19 ซ้ำ มีความเสี่ยงอะไรบ้าง?
มีรายงานการศึกษาจากมหาวิทยาลัยวอชิงตัน ที่คณะแพทยศาสตร์ เมืองเซ็นต์หลุยส์ โดย Dr. Ziyad Al-Aly เป็นการเก็บข้อมูลเวชระเบียนจำนวน 5.3 ล้านคน จาก US. Department Of Veterans Affairs โดยมีผู้ติดโควิด 1 ครั้ง 443,588 คน และผู้ที่ติดโควิดตั้งแต่ 2 ครั้งขึ้นไป จำนวน 40,947 คน พบผลการศึกษาที่น่าสนใจดังนี้
นอกจากนี้ ผลการศึกษาดังกล่าวยังพบว่า ไม่ว่าจะเป็นไวรัสสายพันธุ์ "เดลตา" หรือ "โอมิครอน BA.5" ก็มีผลการศึกษาที่ไม่แตกต่างกัน แม้ผู้ติดเชื้อจะเคยได้รับวัคซีนมาก่อนก็ตาม แต่ยังคงมีความเสี่ยงดังกล่าวเพิ่มขึ้น รายงานนี้นักวิจัยได้บอกถึงข้อจำกัด ซึ่งสอดคล้องกับผู้เชี่ยวชาญที่ไม่ใช่นักวิจัยคณะนี้ เช่น Professor J. Moore จาก Cornell Medical Center ที่คิดว่ากลุ่มตัวอย่างในงานวิจัยนี้แม้จะมีจำนวนมาก แต่ไม่สามารถแทนประชากรทั่วไปได้
เนื่องจากเป็นเวชระเบียนของคนที่อายุมาก เป็นผู้ชายผิวขาวและมีอาการหนัก
และ Dr.C.Gounder จาก Kaiser Health News ได้ให้ความเห็นว่า ดูเหมือนทิศทางความเสี่ยงที่เพิ่มมากขึ้นนั้นจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นด้วยอัตราที่ลดลง เมื่อติดเชื้อตั้งแต่ครั้งที่ 3 เป็นต้นไป
แนะป้องกันตัว-อย่าประมาท เผยปัญหาลองโควิด ระหว่าง "โอมิครอน" กับ "เดลตา"
ทั้งนี้ หากสถานการณ์ระบาดของโควิดยังเป็นไปอย่างต่อเนื่องและกระจายไปทั่วอยู่แบบนี้ คนที่ติดเชื้อมาก่อนควรตระหนักถึงความสำคัญในการป้องกันตัวเองเพื่อไม่ให้ติดเชื้อซ้ำ อย่าเหลิง อย่าลุ่มหลงมัวเมากับข่าวลวงที่ว่า คนที่เคยติดเชื้อแล้วจะไม่ติดอีก และไม่ควรประมาทกับการใช้ชีวิต ยิ่งในปัจจุบันไวรัสโอมิครอนมีการกลายพันธุ์ไปหลากหลาย และหลบหลีกภูมิคุ้มกันได้มากขึ้นกว่าเดิม ดังนั้นการติดเชื้อซ้ำจึงเกิดขึ้นง่ายมาก แม้ก่อนหน้านี้จะมีงานวิจัยชี้ให้เห็นว่า คนติดโควิดสายพันธุ์โอมิครอนมีโอกาสเกิดปัญหา "ลองโควิด" น้อยกว่าสายพันธุ์เดลตาประมาณ 50-70% (หรือลดลงราว 2-3 เท่า) แต่อย่าลืมความจริงว่า จำนวนคนที่ติดเชื้อโอมิครอนนั้นมีเยอะกว่าเดลตาราว 3.5 เท่า ดังนั้นจำนวนจริงของปัญหาลองโควิดที่จะเกิดขึ้นจากโอมิครอนนั้นจึงมีโอกาสสูงกว่าเดลตา ยิ่งหากผนวกกับความรู้ที่เราทราบกันดีอยู่แล้วว่า การติดเชื้อซ้ำ (Reinfection) ในโอมิครอนมีมากกว่าเดลตา ดังนั้นก็ยิ่งทำให้เกิดปัญหาได้มากขึ้นไปอีก
"สรุปแล้ว เราไม่ควรจะติดโควิด เพราะอาจเกิดปัญหาลองโควิดได้ถึง 25% และยืดเยื้อไปได้นานถึง 6 เดือน ถ้าติดโควิดไปแล้วหนึ่งครั้ง ก็ต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดการติดครั้งที่สอง เพราะการติดครั้งที่สองขึ้นไปมีอัตราการเสียชีวิตและการเจ็บป่วยเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งรบกวนอวัยวะต่างๆ มากขึ้นด้วย".
กราฟิก : Jutaphun Sooksamphun