น้ำท่วมลุ่มแม่น้ำชียังวิกฤติไหลทะลักเข้าพื้นที่นอกพนังกั้นน้ำ จ.ร้อยเอ็ด สูงถึง 3 เมตร ต้องอพยพ หนีน้ำรอบสอง ส่วน จ.มหาสารคาม น้ำท่วมเขตเศรษฐกิจรอบมหาวิทยาลัย ล่าสุดคณะกรรมการลุ่มน้ำชีมีมติไม่ให้เขื่อนอุบลรัตน์ปล่อยน้ำเพิ่มลดผลกระทบจังหวัดท้ายน้ำ ขณะที่เขื่อนเจ้าพระยาทำสถิติปล่อยน้ำสูงสุดในรอบปี ส่วนชาวตลาดปากน้ำและชุมชนซอยจรัญฯ 13 อ่วมเจอน้ำทะเลหนุนท่วมหนัก ด้านนายกฯเยี่ยมชุมชนริมฝั่งเจ้าพระยา อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี บอกชาวบ้านให้อดทนและเรียนรู้อยู่กับน้ำให้ได้ อุตุฯเตือนพายุจ่อถล่มอีกลูก
แม้ว่าฝนจะหยุดตกมาหลายวัน แต่วิกฤติน้ำท่วมยังไม่คลี่คลาย ประชาชนในหลายจังหวัดยังคงเดือดร้อนแสนสาหัส โดยเฉพาะภาคอีสานแถบลุ่มแม่น้ำชีและแม่น้ำมูล ขณะที่พื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาอ่วมไม่แพ้กัน หลังน้ำเหนือยังไหลบ่าลงมามาก ประกอบกับเป็นช่วงน้ำทะเลหนุน ทำให้น้ำระบายลงทะเลช้าเอ่อท่วมชุมชนริมฝั่งแม่น้ำ
บอร์ดลุ่มน้ำชีห้ามปล่อยน้ำเพิ่ม
ต่อมาวันที่ 13 ต.ค.นายไกรสร กองฉลาด ผวจ.ขอนแก่น เปิดเผยว่า จากการประชุมคณะกรรมการลุ่มน้ำชีที่ผ่านมาได้มีมติให้ระงับการขอการเพิ่มระบายน้ำของเขื่อนอุบลรัตน์ หลังจากเขื่อนต้องการเพิ่มการระบายน้ำมากกว่าวันละ 54 ล้านลูกบาศก์เมตรเพื่อลดปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่เหนือเขื่อน คณะกรรมการมีมติให้เขื่อนคงการระบายน้ำวันละ 54 ล้านลูกบาศก์เมตร ไปจนถึงวันที่ 19 ต.ค.เท่านั้น จากนั้นให้ลดเหลือวันละ 52 ล้านลูกบาศก์เมตรระหว่างวันที่ 20-22 ต.ค. และให้ระบายวันละ 50 ล้านลูกบาศก์เมตร ระหว่างวันที่ 23 ต.ค. ถึงวันที่ 2 พ.ย.
...
ภายใน 25 วันน้ำลดต่ำกว่าตลิ่ง
“ขณะนี้พื้นที่ท้ายเขื่อนอุบลรัตน์ตั้งแต่ อ.น้ำพอง ถึง อ.เมืองขอนแก่น มีพื้นที่ทางการเกษตรถูกน้ำท่วมจำนวนมาก อีกทั้งน้ำพองที่ระบายออกมา ลำน้ำทั้ง 2 สาย ได้บรรจบกันที่ อ.เมืองขอนแก่น ทำให้เกิดน้ำทั้ง 2 สายหนุนกัน การปรับลดการระบายน้ำของเขื่อนอุบลรัตน์จะช่วยการจัดการจราจรน้ำได้ เพราะเมื่อปริมาณน้ำในแม่น้ำลดลง น้ำจากน้ำพองก็จะไหลคล่องตัวมากขึ้น ขณะนี้จุดที่น้ำพองกับแม่น้ำชีมารวมกัน เปรียบเสมือนอ่างเก็บน้ำ มีปริมาณที่ท่วมขัง 1,200 ล้านลูกบาศก์เมตร หากลดการระบายน้ำของเขื่อนอุบลรัตน์ตามแผนดังกล่าว คาดว่าจะทำให้น้ำพองที่ล้นตลิ่ง ปริมาณน้ำจะลดลงต่ำกว่าตลิ่งภายใน 25 วัน” ผวจ.ขอนแก่นกล่าว
ร้อยเอ็ดอ่วมน้ำชีทะลัก 3 เมตร
ที่ จ.ร้อยเอ็ด แม่น้ำชีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ที่สถานีตรวจวัดน้ำบ้านม่วงลาด อ.จังหาร ที่เป็นที่รับน้ำจุดแรก ระดับน้ำชีสูงกว่าตลิ่ง 1.95 เมตร เอ่อท่วมพื้นที่ 5 ตำบลคือดงสิงห์ ดินดำ ม่วงลาด ผักแว่น และแสนชาติ นาข้าวถูกน้ำท่วมกว่า 12,000 ไร่ บ้านเรือนประชาชนเสียหายกว่า 600 หลัง โดยเฉพาะบ้านดินแดง ต.ดงสิงห์ ที่อยู่แนวนอกพนังมีน้ำสูงกว่า 3 เมตร ชาวบ้านเดือดร้อน 156 ครอบครัว ต้องอพยพข้าวของขึ้นมาสร้างเพิงพักชั่วคราวบนถนนคันพนังกั้นน้ำ และศาลาพักญาติ ข้างเมรุวัดบ้านดินแดง ล่าสุดน้ำเพิ่มสูงขึ้นจนท่วมที่พักปิดล้อมศาลาพักญาติ ต้องอพยพรอบ 2 ขณะที่ลำน้ำยัง ลำน้ำเสียวใหญ่ ลำน้ำเตา และลำน้ำมูล เอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมเป็นบริเวณกว้าง ล่าสุดมีพื้นที่เกิดอุทกภัยรวม 14 อำเภอ 86 ตำบล 692 หมู่บ้าน ชาวบ้านได้รับผลกระทบ 14,549 ครัวเรือน
ม.สารคามสอนออนไลน์หนีน้ำ
ส่วนที่ จ.มหาสารคาม ได้รับผลกระทบจากแม่น้ำชีล้นตลิ่งเข้าท่วมบ้านดินดำ อ.เมืองมหาสารคาม ที่อยู่ติดแม่น้ำ และท่วมถนนถีนานนท์ทั้งสองเลนฝั่งขาออกไป อ.กันทรวิชัย รถเล็กผ่านไม่ได้ แขวงทางหลวงมหาสารคามได้เปิดช่องทางพิเศษให้วิ่งสวนเลนขาเข้าเมือง 1 เลน ทำให้การจารจรติดกันยาวกว่า 2 กม. ส่วนอีกฝั่งของแม่น้ำชี คือ อ.กันทรวิชัย น้ำเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมพื้นที่เศรษฐกิจของ ต.ท่าขอนยาง เป็นชุมชนรอบที่ตั้งมหาวิทยาลัยมหาสารคาม น้ำได้เข้ามาอย่างรวดเร็วเข้าท่วมหอพัก บ้านเช่า และตลาดจนตั้งตัวไม่ทัน ผู้บริหารมหาวิทยาลัยมหาสารคามต้องประกาศจัดการเรียนการสอนออนไลน์แทนจนกว่าสถานการณ์น้ำท่วมจะดีขึ้น
พิมายน้ำเริ่มลด-แต่ยังคงท่วมสูง
ที่ จ.นครราชสีมา น้ำท่วมเขตเทศบาลตำบลพิมาย อ.พิมาย ลดลงเป็นปกติแล้ว ส่วนโรงเรียนพิมายวิทยาระดับน้ำเหลือ 20-30 ซม. ขณะที่ด้านตลาดพิมายเมืองใหม่ บ้านเอื้ออาทร บ้านวังกุ่ม บ้านวังกลาง บ้านม่วง บ้านขาม บ้านจบก และสถานที่ส่วนราชการ น้ำสูง 50-60 ซม. บ้านพักข้าราชการตำรวจ บริเวณทางเข้าที่ว่าการอำเภอพิมาย สภ.พิมาย ศูนย์ดำรงธรรม อ.พิมาย สำนักงานที่ดิน สาธารณสุขอำเภอพิมาย อบต.ในเมือง ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) ระยะทางกว่า 800 เมตร ยังคงมีน้ำท่วมสูงรถเล็กวิ่งผ่านไม่ได้
...
อุบลฯประกาศภัยพิบัติ 18 อำเภอ
จ.อุบลราชธานี ระดับน้ำมูล ที่สถานีวัดน้ำ M7 สะพานเสรีประชาธิปไตย เทศบาลนครอุบลราชธานี เริ่มทรงตัวอยู่ที่ 116.51 เมตร ทำให้ชุมชนสองฝั่งแม่น้ำ อ.เมืองอุบลราชธานี และฝั่ง อ.วารินชำราบ ได้รับความเดือดร้อนน้ำท่วมขังมาหลายวัน ขณะที่อีกหลายอำเภอได้รับผลกระทบเป็นบริเวณกว้าง
ล่าสุดนายชลธี ยังตรง ผวจ.อุบลราชธานี ประกาศเขตภัยพิบัติฉุกเฉิน (อุทกภัย) แล้ว 18 อำเภอ พร้อมนำจิตอาสา 904 ร่วมบรรจุข้าวสารอาหารแห้งจัดทำถุงยังชีพ นำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ศาลาเรือนไทย ศาลากลางจังหวัด ด้าน “บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์” พร้อม “เข้ม-หัสวีร์” ดาราหนุ่มชื่อดัง และอาสามูลนิธิร่วมกตัญญู ร่วมกันแพ็กกระสอบทรายนำไปจัดเรียงตามแนวถนนข้ามฝั่งเมืองอุบลราชธานี-วารินชำราบ
เขื่อนภูมิพลยังงดระบายน้ำเหนือ
นายวรพจน์ วรพงษ์ ผู้อำนวยการเขื่อนภูมิพล จ.ตาก เปิดเผยว่า สถานการณ์น้ำเขื่อนภูมิพลประจำวันที่ 13 ต.ค.มีปริมาณน้ำกักเก็บอยู่ที่ 11,403 ล้าน ลบ.ม. จากความจุ 13,462 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็น 82.92% สามารถรับน้ำได้อีก 2,058.84 ล้าน ลบ.ม. เมื่อวันที่ 12 ก.ค.ที่ผ่านมามีน้ำใหม่ไหลเข้าอ่างเก็บน้ำ 72.37 ล้าน ลบ.ม. มีน้ำสะสมใช้การได้ในช่วงฤดูแล้ง 7,603 ล้าน ลบ.ม. ตั้งแต่วันที่ 4 ต.ค. ถึงวันนี้เขื่อนภูมิพลยังคงงดการระบายน้ำลงแม่น้ำปิง เนื่องจากท้ายน้ำในพื้นที่ภาคกลางยังคงประสบปัญหาน้ำท่วม จึงบริหารจัดการน้ำด้วยการสกัดกั้นน้ำเหนือกักเก็บไว้ที่เขื่อนภูมิพลก่อนแล้วค่อยพร่องน้ำหลังจากผ่านพ้นวิกฤติน้ำท่วมในภาคกลางต่อไป
...
ชาวบางระกำต้องอยู่กับน้ำอีก 2 ด.
จ.พิษณุโลก มีพื้นที่ประสบอุทกภัย 3 อำเภอ คือ อ.พรหมพิราม อ.บางระกํา และ อ.วังทอง โดยเฉพาะพื้นที่ อ.บางระกำ แม่น้ำยมสายหลักและสายเก่ายังไหลเข้าทุ่งบางระกำอย่างต่อเนื่อง วัดจากจุดวัดน้ำยม Y-64 ด้านหลังที่ว่าการอำเภอบางระกำอยู่ที่ 10.73 เมตร สูงกว่าตลิ่ง 3.43 เมตร โครงการชลประทานพิษณุโลกประสานหน่วยงานเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่เพื่อให้เกิดผลกระทบกับราษฎรให้น้อยที่สุด โดยเฉพาะพื้นที่บางระกำโมเดลที่น้ำเข้าพื้นที่เต็มทุ่งหมดแล้ว มีน้ำกักเก็บ 440 ล้าน ลบ.ม. เยอะกว่าเป้าหมายปีนี้ที่คาดว่าจะมีน้ำในทุ่งบางระกำแค่ 400 ล้าน ลบ.ม. จากสถานการณ์ในขณะนี้คาดว่าชาวบางระกำต้องอยู่กับน้ำท่วมแบบนี้ไปอีกกว่า 2 เดือน
เขื่อนป่าสักฯลดระบายน้ำครั้งแรก
นายชูพงศ์ อิศรัตน์ ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาป่าสักใต้ รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาป่าสักชลสิทธิ์ ลงนามในหนังสือด่วนที่สุดเรื่องการปรับลดการระบายน้ำท้ายเขื่อน ถือเป็นครั้งแรกหลังปริมาณน้ำเกินความจุทะลุ 100 เปอร์เซ็นต์ ปัจจุบันเขื่อนป่าสักฯมีปริมาณน้ำอยู่ที่ 1,051.88 ล้าน ลบ.ม. จากระดับกักเก็บสูงสุดที่ 960 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็น 109.57% เพื่อให้การบริหารจัดการน้ำสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และเพื่อควบคุมปริมาณน้ำในเขื่อนให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม ลดผลกระทบประชาชนท้ายน้ำตั้งแต่ อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี ถึงเขื่อนพระรามหก อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา จึงลดการระบายน้ำท้ายเขื่อนจากวันละ 70.84 ล้าน ลบ.ม.หรือ 820 ลบ.ม.ต่อวินาที เป็นวันละ 56.16 ล้าน ลบ.ม.หรือ 650 ลบ.ม.ต่อวินาที ตั้งแต่วันที่ 13-15 ต.ค.เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบด้านท้ายน้ำ
...
ชาวบ้านสร้างยังต้องใช้เรือสัญจร
จ.ปราจีนบุรี ฝนทิ้งช่วงมาหลายวัน ทำให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำปราจีนบุรีตั้งแต่ อ.กบินทร์บุรี อ.ศรีมหาโพธิ เข้าพื้นที่ อ.เมืองปราจีนบุรี เริ่มลดลงบ้างแล้ว เหลือเพียง อ.บ้านสร้าง ที่ยังคงท่วมหนัก เนื่องจากเป็นพื้นที่รับน้ำ ส่งผลให้บ้านเรือนราษฎรที่อยู่สองฝั่งแม่น้ำถูกน้ำท่วมขังมานานกว่า 2 เดือน ระดับนำสูงประมาณ 1.50 เมตร ชาวบ้านต้องใช้เรือพายในการเดินทางเข้าออก ส่วนเครื่องมือการเกษตรและรถไถนาต้องย้ายไปจอดข้างถนน ขณะที่ “เอกพันธ์ บรรลือฤทธิ์” นำทีมอาสามูลนิธิร่วมกตัญญูแจกถุงยังชีพ 500 ชุดให้กับผู้ประสบภัยในพื้นที่ อ.บ้างสร้าง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น
เมืองอุทัยธานีเจอน้ำทั้งสองด้าน
ส่วนที่ จ.อุทัยธานี อ่างเก็บน้ำทับเสลา อ.ลานสัก ยังคงเอ่อล้นไหลทะลักลงลำห้วยทับเสลาเข้าท่วมถนนทางหลวงสาย 333 ตั้งแต่สี่แยกหน้าวัดสังกัสรัตนคีรีถึงบริเวณใกล้โชว์รูมรถยนต์โตโยต้า อ.เมืองอุทัยธานี ทำให้การจราจรเป็นไปด้วยความยากลำบาก เจ้าหน้าที่ต้องนำกรวยมาตั้งให้รถวิ่งผ่านสวนทางได้เพียงสองเลน ขณะที่พื้นที่ฝั่งลุ่มแม่น้ำลุ่มเจ้าพระยาและแม่น้ำสะแกกรังทั้งในเขตเทศบาลเมืองอุทัยธานีและตำบลโดยรอบยังคงมีน้ำท่วมสูงเฉลี่ย 1-3 เมตร ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนต้องย้ายที่อาศัย บางหลังไม่ยอมย้ายออก เจ้าหน้าที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จ.อุทัยธานี ต้องคอยให้บริการตัดไฟฟ้าหรือยกขยับมิเตอร์ไฟฟ้าให้พ้นระดับน้ำที่ท่วมสูงเพื่อความปลอดภัย
เขื่อนเจ้าพระยาปล่อยน้ำสูงสุด
ด้านเขื่อนเจ้าพระยา อ.สรรพยา จ.ชัยนาท ได้ปรับอัตราการระบายน้ำเพิ่มขึ้นที่ 3,169 ลบ.ม.ต่อวินาที นับว่าเป็นการระบายที่สูงที่สุดของปีนี้ เพื่อรักษาสมดุลของน้ำเหนือเขื่อนและท้ายเขื่อน รองรับปริมาณน้ำฝนและเพื่อชะลอน้ำเหนือ ส่งผลให้พื้นที่ท้ายเขื่อนระดับน้ำวัดได้ 17.39 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง สูงกว่าตลิ่ง 105 ซม. ทำให้ประชาชนต้องอพยพขึ้นมาสร้างเพิงพักและกางเต็นท์นอนริมถนนกันเพิ่มมากขึ้นรวมแล้วกว่า 2,500 ครัวเรือน เฉพาะ อ.สรรพยา มีพื้นที่ถูกน้ำท่วมแล้ว 6 ตำบลจากทั้งหมด 7 ตำบล
โวยไม่มีห้องน้ำ–ผักแพงเท่าตัว
หนึ่งในชาวบ้าน ต.บางหลวง อ.สรรพยา ที่อพยพขึ้นมานอนริมถนนคันคลองชลประทานกว่าร้อยหลังคาเรือนเผยว่า ย้ายขึ้นมานอนริมถนนกว่า 1 สัปดาห์แล้ว สภาพความเป็นอยู่ลำบากมาก ทั้ง ยุง แมลงมีพิษ และปลิงที่ชุกชุมมาก แต่เรื่องนี้ยังพอปรับตัวได้ เพราะเข้าใจว่าเป็นปรากฏการณ์ทาง ธรรมชาติ แต่ที่เดือดร้อนหนักคือไม่มีที่ขับถ่าย เพราะห้องสุขามีไม่เพียงพอความต้องการใช้งานของชาวบ้าน อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหามาเพิ่ม ขณะเดียวกันหลังน้ำท่วมผักขยับราคาอีกเท่าตัว โดยที่ตลาดสดภาษีซุง ตลาดขายของสดใหญ่ที่สุดของ จ.ชัยนาท ราคาแพงสุดในรอบปี ผักกาดหอมจากเดิม กก.ละ 70 บาท ขึ้นเป็น 140-150 บาท โหระพาจาก กก.ละ 50-60 บาท ขึ้นไป 120 บาท มะเขือเจ้าพระยาจาก กก.ละ 25-30 บาท ตอนนี้สูงถึง 50 บาท ผักชี ขึ้นฉ่าย และต้นหอมจากปกติ กก.ละ 100 กว่าบาทก็สูงถึง 170-190 บาท ทำให้ชาวบ้านที่เดินจ่ายตลาดบ่นไปตามๆกัน
พระทำนั่งร้านจำวัดหนีน้ำท่วม
ส่วนที่วัดพินิจธรรมสาร ต.บางปลากด อ.ป่าโมก จ.อ่างทอง แม่น้ำเจ้าพระยาเอ่อล้นเข้าท่วมสูงกว่า 1 เมตรมานานนับสัปดาห์ สร้างความยากลำบากให้กับพระสงฆ์ต้องย้ายไปจำวัดบนกุฏิปูนที่น้ำท่วมไม่ถึงยกเว้นหลวงตาจรูญ อายุ 86 ปี พระลูกวัด เป็นห่วงกุฏิไม่ยอมย้ายไปไหน จึงบอกญาติโยมช่วยทำนั่งร้านไว้บริเวณหน้าโบสถ์ที่มีน้ำท่วมสูงเพื่อใช้เป็นที่จำวัด เนื่องจากกุฏิถูกน้ำท่วมมิดหลังคา ขณะที่ศาลาการเปรียญและเมรุถูกน้ำท่วมทั้งหมด และพบโลงเย็นถูกน้ำซัดลอยแช่น้ำอยู่ในศาลา 1 โลง ด้านหลวงตาจรูญเผยว่า ช่วงเช้าพายเรือออกบิณฑบาตตามปกติ มีญาติโยมลูกหลานช่วยดูแล ไม่ลำบาก อยู่แบบนี้ก็สบายดี
สิงห์บุรีกู้ 3 หมู่บ้านจมบาดาล
ด้านนายสุพจน์ ยศสิงห์คำ ผวจ.สิงห์บุรี ระดมเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่ 6 เครื่อง ไปสูบน้ำออกจากพื้นที่ หมู่ 10 ต.ต้นโพธิ์ และหมู่ 1 ต.บางกระบือ อ.เมืองสิงห์บุรี เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านจัดสรร 3 โครงการ ประกอบด้วย หมู่บ้านประวีน หมู่บ้านทานตะวัน และหมู่บ้านสุขนคร หลังถูกแม่น้ำเจ้าพระยาไหลเอ่อล้นข้ามคลอง 1 ซ้ายบรมธาตุเข้าท่วม โดยได้รับผลกระทบประมาณ 1,300 ครัวเรือน ส่วนความคืบหน้าการซ่อมคันคลองชลประทานชัยนาท-อยุธยา ช่วง กม.ที่ 24-800 ฝั่งซ้าย หมู่ 3 ต.ชีน้ำร้าย อ.อินทร์บุรี ที่ถูกน้ำเซาะพังทลายห่างจากสถานีสูบน้ำบางโฉมศรี 1 กม. ล่าสุดเจ้าหน้าที่รถเทรเลอร์บรรทุกเสาเข็มขนาดใหญ่ไปวางกั้นก่อนใช้รถแบ็กโฮยกถุงบิ๊กแบ็กลงไปวางแล้วนำรถแบ็กโฮอีก 5 คัน ขุดปั้นชะลอน้ำ เพื่อซ่อมคันดินต่อไป แต่ยังไม่รู้ว่าจะเสร็จเมื่อไหร่
“บิ๊กตู่” ยกคณะดูน้ำท่วมปากเกร็ด
เวลา 09.00 น. วันเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม พร้อม พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และนายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ลงพื้นที่ตรวจน้ำท่วมบริเวณวัดแสงสิริธรรม ต.ท่าอิฐ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ซึ่งเป็นชุมชนริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่ได้รับผลกระทบจากน้ำทะเลหนุนสูงและมีน้ำท่วมขังอยู่นานนับเดือน ล่าสุดแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้นกว่าทุกวัน โดยมีนายประพิศ จันทร์มา อธิบดีกรม ชลประทาน นายพรพจน์ เพ็ญภาส อธิบดีกรมโยธาและผังเมือง นายสุธี ทองแย้ม ผวจ.นนทบุรี นายสุเจตน์ บุญยภักดิ์ ปลัดอำเภอปากเกร็ด รักษาการนายอำเภอปากเกร็ด และนายปรีดา เชื้อผู้ดี นายกอบต.ท่าอิฐ ร่วมรายงานสถานการณ์น้ำ
ให้ชาวบ้านอดทน–เรียนรู้อยู่กับน้ำ
พล.อ.ประยุทธ์ได้รับฟังการบรรยายผังโครงการสร้างเขื่อนแนวป้องกันน้ำบริเวณริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาทั้ง 2 ฝั่ง ในพื้นที่ จ.นนทบุรี รวมเป็นระยะทางราว 58,000 เมตร เริ่มลงมือก่อสร้างแล้วเสร็จไปบางส่วน ก่อนเดินไปให้กำลังใจทหารที่มาบรรจุทรายใส่กระสอบเตรียมทำแนวคันป้องกันน้ำบริเวณท่าน้ำหน้าวัด รวมถึงเดินสำรวจในจุดที่น้ำท่วมชุมชนริมน้ำข้างวัดแสงสิริธรรมราว 200 เมตร ก่อนกล่าวให้กำลังใจชาวบ้านทุกคนที่ได้รับความเดือดร้อนขอให้อดทนและสู้ๆ จากนั้นนายกฯได้ให้สัมภาษณ์ว่า นี้มีพายุแล้วฝนตามฤดูกาลมากกว่าทุกปี ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำคือการปรับตัว รัฐบาลพยายามจัดสรรงบฯแก้ไขปัญหาในหลายโครงการ บางพื้นที่ต้องใช้งบถึง 500 ล้านบาท ก็ต้องทำไปเรื่อยๆ ขณะเดียวกันต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับน้ำ ในขณะที่โครงการต่างๆยังไม่แล้วเสร็จ หรือยังแก้ไม่ได้ก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ให้ได้
ท่วมแยกพระราม 5–ถ.นครอินทร์
ส่วนบริเวณแยกพระราม 5 ถนนพิบูลสงคราม ต.สวนใหญ่ อ.เมืองนนทบุรี ล่าสุดแม่น้ำเจ้าพระยาเอ่อล้นข้ามคันกั้นน้ำสูง 60 ซม. ที่เทศบาลนครนนทบุรีนำหินคลุกมาทำแนวกั้นไว้ช่วงใต้สะพาน แต่ปริมาณน้ำเพิ่มสูงขึ้นมากได้ไหลทะลักเข้าถนนพิบูลสงครามสูงประมาณ 30-50 ซม. ทำให้การจราจรติดขัดทั้งขาเข้าและขาออก ระดับน้ำใต้สะพานชุมชนวัดนครอินทร์ หมู่บ้านบุรีรังสรรค์ มีน้ำท่วมสูง 50-70 ซม. เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร สภ.เมืองนนทบุรี ต้องปิดแยกพระราม 5 ทั้งฝั่งขาขึ้นและลงสะพานจนกว่าน้ำจะลดลงเป็นปกติ ส่วนถนนนครอินทร์ทั้งฝั่งขาเข้าและออกน้ำได้ทะลักเข้าท่วมช่องจราจรทั้งหมดสูงประมาณ 15-50 ซม.ระยะทางกว่า 1 กม. ส่วนเชิงสะพานทางลงขาออกถนนชัยพฤกษ์ ต.บางตะไนย์ อ.ปากเกร็ด แม่น้ำเจ้าพระยาเอ่อท่วมถนนทั้ง 3 ช่องจราจรกว่า 100 เมตร
ชุมชน ซ.จรัญ 32 ท่วมสูง 60 ซม.
ขณะที่ชาวบ้านในชุมชนบ้านบุ ถนนจรัญ สนิทวงศ์ซอย 32 แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย กทม. หลายร้อยครัวเรือนประสบปัญหาน้ำท่วม หลังน้ำทะเลหนุนสูงในช่วงเช้า บริเวณท้ายซอยด้านหลังวัดสุวรรณาราม ที่ทำการเก่าสำนักงานเขตบางกอกน้อย ถูกแม่น้ำเจ้าพระยาไหลท่วมพื้นที่สำนักงานเขตและบ้านเรือนชาวบ้านทั้งหมด ระดับน้ำประมาณ 60 ซม. นางอังคณา นิยมทอง อายุ 53 ปี ชาวบ้านเลขที่ 149/17 เล่าว่า น้ำทะเลหนุนท่วมชุมชนตั้งแต่เวลา 06.00 น. ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่ได้รับการแจ้งเตือนภัย ไม่ได้เตรียมการแก้ไขปัญหามาก่อน ทำให้ทรัพย์สินเสียหาย ต้องรีบอพยพลูกหลาน ผู้ป่วย และสัตว์เลี้ยงออกมาแทบไม่ทัน
น้ำทะเลหนุนท่วมตลาดปากน้ำ
ที่ จ.สมุทรปราการ ช่วงเวลา 09.00 น. วันที่ 13 ต.ค.เกิดปรากฏการณ์น้ำทะเลหนุนสูง ส่งผลให้แม่น้ำเจ้าพระยาไหลทะลักท่วมตลาดปากน้ำ ต.ปากน้ำ อ.เมืองสมุทรปราการ สูงกว่า 40 ซม. พ่อค้าแม่ค้าที่ขายของอยู่ในตลาดต้องพากันยกข้าวของขึ้นที่สูง ขณะที่การจราจรบริเวณตลาดติดขัดอย่างหนัก เนื่องจากรถเล็กสัญจรได้ลำบาก ส่วนชาวบ้านที่เดินจับจ่ายซื้อของต้องเดินลุยน้ำอย่างทุลักทุเล นอกจากนี้ น้ำยังไหลท่วมบ้านเรือนของประชาชนที่อยู่ตามแนวชายฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้ข้าวของได้รับความเสียหาย กระทั่งเวลาประมาณ 09.30 น.น้ำลดระดับลงเข้าสู่สภาวะปกติ
ท่าจีนซัดคันกั้นพังท่วมถนนบรมฯ
ส่วนถนนบรมราชชนนี บริเวณสะพานข้ามแม่น้ำนครชัยศรี หรือแม่น้ำท่าจีน พุทธมณฑลสาย 7 อ.สามพราน จ.นครปฐม น้ำซัดกระสอบทรายแนวกั้นน้ำสูง 2 เมตร จนพังไหลท่วมจุดกลับรถใต้สะพานข้ามแม่น้ำท่าจีน รถยนต์ไม่สามารถวิ่งผ่านได้ น้ำยังไหลท่วมถนนสายหลักบรมราชชนนีทั้งช่องทางหลักฝั่งขาเข้า กทม. มีน้ำท่วมขัง 3 เลน ระยะทางกว่า 200 เมตร น้ำสูง 30-40 ซม. ส่วนช่องทางหลักฝั่งขาออก มีน้ำท่วมขัง 3 เลน เช่นกัน ระยะทางกว่า 200 เมตร ส่งผลให้รถเกิดการชะลอตัวติดขัดเป็นทางยาวหลาย กม. เจ้าหน้าที่ต้องปิดกั้นเส้นทางดังกล่าวไม่ให้รถวิ่งผ่าน
อุตุฯเตือนรับมือพายุลูกใหม่อีก
ด้านกรมอุตุนิยมวิทยาออกประกาศฉบับที่ 3 เรื่อง “พายุดีเปรสชันบริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง” ระบุว่า เมื่อเวลา 07.00 น. วันที่ 13 ต.ค. หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงในทะเลจีนใต้ตอนกลางได้ทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุดีเปรสชันแล้ว โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ละติจูด 13.0 องศาเหนือ ลองจิจูด 114.0 องศาตะวันออก มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 56 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พายุนี้กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกค่อนทางเหนือเล็กน้อย ด้วยความเร็วประมาณ 15 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีแนวโน้มจะมีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อนในระยะต่อไป คาดว่าจะเคลื่อนขึ้นฝั่งประเทศเวียดนามตอนกลางในวันที่ 14-15 ต.ค.
ระวัง 14-15 ต.ค.ฝนถล่มหนัก
จากนั้นจะอ่อนกำลังลงอย่างรวดเร็วเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรง ส่งผลให้ในช่วงวันที่ 14-15 ต.ค. บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑลจะมีฝนเพิ่มขึ้น โดยมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ บริเวณจังหวัดชัยภูมิ ขอนแก่น กาฬสินธุ์ มุกดาหาร มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ยโสธร อำนาจเจริญ บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม อาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย