ยังเฝ้าระวังโควิด-19 ต่อเนื่อง กรมควบคุมโรคประเดิมรายงาน ยอดผู้ป่วย-ตาย รายสัปดาห์ พบป่วยเข้า รพ.เฉลี่ยวันละกว่า 600 คน ตายเฉลี่ยวันละ 9 ศพ ส่วนใหญ่ยังเป็นผู้สูงวัย ไม่ได้ฉีดวัคซีน/เข็มกระตุ้น ด้านปลัด สธ.ย้ำนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเร่งรัดฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้กับกลุ่ม 608 ป้องกันติดเชื้อแล้วป่วยหนัก ส่วนนายกฯ โพสต์เฟซบุ๊กขอบคุณข้าราชการทุกคนและทุกภาคส่วนที่ร่วมสู้โควิดจนเอาชนะวิกฤติได้ในที่สุด

ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เมื่อวันที่ 3 ต.ค.นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยหลังการประชุมมอบนโยบายและทิศทางการดำเนินงานของกระทรวงสาธารณสุข ว่า โรคโควิด-19 ขณะนี้เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง ได้ย้ำให้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเร่งรัดฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้กับกลุ่ม 608 โดยเฉพาะเข็มที่ 4
ด้าน นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ไทยมีแนวโน้มจำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ลดลง ส่วนการรายงานตัวเลขผู้ป่วยและผู้เสียชีวิต ซึ่งปรับการรายงานเป็นรายสัปดาห์ผ่านเว็บไซต์กรมควบคุมโรค เริ่มวันที่ 3 ต.ค.เป็นต้นไป โดยสัปดาห์ที่ผ่านมา วันที่ 25 ก.ย.-1 ต.ค.เป็นสัปดาห์ที่ 39 ของการเฝ้าระวังทางระบาดวิทยา จำนวนผู้ป่วยโควิดที่รักษาในโรงพยาบาลรวม 4,435 คน เฉลี่ยวันละ 634 คน จำนวนผู้เสียชีวิต 65 คน เฉลี่ยวันละ 9 คน ในจำนวนนี้เป็นผู้สูงอายุ 54 คน เท่ากับร้อยละ 83 และผู้เสียชีวิตช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนจำนวน 36 คน หรือร้อยละ 55 และมีอีก 15 คน ยังไม่ได้รับเข็มกระตุ้น หรือร้อยละ 23 ดังนั้น ผู้สูงอายุที่ไม่ได้รับวัคซีนตามเกณฑ์จะไม่ปลอดภัย อาจติดเชื้อเสียชีวิตได้ ขอให้ลูกหลานนำผู้สูงอายุในบ้านไปฉีดวัคซีนที่โรงพยาบาลของรัฐหรือศูนย์ฉีดวัคซีนในจังหวัด และหากเป็นผู้ป่วยติดบ้านหรือติดเตียง สามารถที่จะแจ้งให้ อสม.หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขไปฉีดวัคซีนให้ที่บ้าน โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ยังไม่มีรายงานการระบาดและจำนวนผู้ป่วยไม่มีการเพิ่มขึ้นผิดปกติแต่อย่างไร
...

ส่วนที่ศูนย์ปฏิบัติการควบคุมโรค กรมควบคุมโรค นพ.สราวุฒิ บุญสุข รองอธิบดีกรมอนามัย แถลงข่าวโควิดกับชีวิตเด็กในวัยเรียนว่า ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.-30 ก.ย.2565 จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 อายุ 0-18 ปี มีอัตราลดลงอย่างชัดเจน ส่วนอัตราการเสียชีวิตในกลุ่มอายุ 0-18 ปี ก็ต่ำมาก บางเดือนแทบจะไม่มีผู้เสียชีวิตเลย ส่วนอัตราการรับวัคซีนโควิด-19 ของนักเรียน ข้อมูล ณ วันที่ 3 ต.ค. กลุ่มอายุ 12-17 ปี จำนวน 5,333,639 คน ได้รับวัคซีนเข็ม 1 จำนวน 4,723,369 คน คิดเป็นร้อยละ 88.56 เข็ม 2 จำนวน 4,386,081 คน คิดเป็นร้อยละ 82.23 เข็ม 3 จำนวน 1,140,580 คน ร้อยละ 20.35 ส่วนอายุ 5-11 ปี จำนวน 5,002,698 คน ได้รับเข็ม 1 จำนวน 3,328,184 คน คิดเป็นร้อยละ 64.6 เข็ม 2 จำนวน 2,493,003 คน คิดเป็นร้อยละ 48.4 และเข็ม 3 จำนวน 56,807 คิดเป็นร้อยละ 1.1
ทั้งนี้ สธ.มีคำแนะนำให้นักเรียนควรรับเข็มกระตุ้น กรณีเมื่อมีการติดเชื้อในโรงเรียน ขอให้สถานศึกษาจัดการเรียนการสอนที่เหมาะสมโดยไม่ต้องปิดเรียน แต่ผู้เรียน ครู บุคลากรควรปฏิบัติตามหลักการ Universal Prevention เข้มการสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ เว้นระยะห่างในห้องเรียนไม่น้อยกว่า 2 เมตร งดทำกิจกรรมรวมกลุ่ม จัดพื้นที่ให้มีระบบระบายอากาศที่ดี และทำความสะอาดห้องเรียน ชั้นเรียน ส่วนนักเรียนติดเชื้อและมีอาการ ทั้งที่เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลหรือรักษาตัวที่บ้านเป็นเวลา 5 วัน สามารถกลับมาเรียนได้ตามปกติ หากโรงเรียนพบการระบาดเป็นกลุ่มก้อนให้รีบแจ้งสาธารณสุขในพื้นที่ทันที ส่วนการสวมหน้ากากอนามัยในโรงเรียนนั้น มีคำแนะนำว่า ควรสวมหน้ากากเมื่อมีการทำกิจกรรมร่วมกันหรือในที่ที่มีคนอยู่จำนวนมากและการสวมหน้ากากยังสามารถป้องกันโรคทางเดินหายใจอื่นๆ ได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีคำแนะนำสำหรับผู้ปกครองให้นำเด็กเล็กไปรับวัคซีนเข็มกระตุ้น
วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม โพสต์ข้อความลงเพจเฟซบุ๊ก “ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha” มีสาระสำคัญว่า ขอขอบคุณและชื่นชมเพื่อนข้าราชการทั่วประเทศ ผู้ปฏิบัติงานในศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ทุกระดับตลอดจนบุคลากรและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่าน ที่ทำงานด้วยกันมา ด้วยความเสียสละ ไม่ย่อท้อต่อความเหนื่อยยาก นับตั้งแต่ประเทศไทยเผชิญสถานการณ์การแพร่ระบาดเมื่อเดือน มี.ค.63 จนถึงวันนี้ นับเป็นเวลากว่า 2 ปีครึ่ง หรือ 900 กว่าวัน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่คือ “ประเทศชาติต้องปลอดเชื้อ ประชาชนต้องปลอดภัย” และร่วมเอาชนะวิกฤตการณ์นี้จนได้ในที่สุด และเป็นเครื่องพิสูจน์ได้อย่างดีว่า ไม่ว่าวิกฤตินั้น จะยิ่งใหญ่เพียงใดก็ไม่อาจเอาชนะ “พลังแห่งความสามัคคี” และความเสียสละอันยิ่งใหญ่ที่อยู่ในหัวใจพวกเราทุกคน