วันนี้ (10 สิงหาคม 2565) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุมวิสุทธิกษัตริย์ ชั้น 3 อาคารศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ถ.วิสุทธิกษัตริย์ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อขับเคลื่อนโครงการอำเภอนำร่อง “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แบบบูรณาการและสร้างนักขับเคลื่อนยุทธศาสตร์นำการเปลี่ยนแปลง กระทรวงมหาดไทย (คณะทำงานเฉพาะกิจด้านติดตาม หนุนเสริมและประเมินผล) โดยมีรองศาสตราจารย์วรวรรณ โรจนไพบูลย์ และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์พิเชฐ โสวิทยสกุล ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้าส่วนราชการจากสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ประกอบด้วย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผน ผู้อำนวยการสำนักตรวจราชการและเรื่องราวร้องทุกข์ ผู้อำนวยการสถาบันดำรงราชานุภาพ และผู้แทนจากหน่วยงานด้านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ จากกรม และหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ดร.ศิริมาเมธ์วดี ศิรธนิตรา นายกเทศมนตรีเมืองพิบูลมังสาหาร พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุม

นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า การทำงานของคณะทำงานติดตามหนุนเสริมและประเมินผลนี้ เปรียบเสมือนการเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่กระทรวงมหาดไทยในการทำงานและบูรณาการข้อมูลร่วมกันระหว่างหน่วยงานภายในของกระทรวงมหาดไทย และภาคีเครือข่ายเพื่อให้เกิดความคึกคักนำไปสู่การพัฒนาการเปลี่ยนแปลง ความหมายของคำว่า คึกคักในที่นี้ คือ ไม่ได้มีความประสงค์จะเป็นจุดสนใจ แต่ต้องการจะให้เกิดการเรียนรู้ของผู้ที่มีหน้าที่ในพื้นที่ทำงานตั้งแต่ระดับ ผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการในจังหวัดทุกส่วนราชการ นายอำเภอ และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกคน ทำให้เกิดกระแสยอมรับจากทุกภาคส่วน ทั้งรัฐบาลที่เป็นผู้อนุมัติงบประมาณ เพื่อจะได้ติดตามผลการดำเนินงานที่เกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่ได้สะดวก หรือ ผู้นำท้องที่ ผู้นำท้องถิ่น หรือภาคเอกชนในพื้นที่ ให้เกิดการยอมรับและรับรู้รับทราบถึงความตั้งใจเพื่อจะได้สนับสนุนภารกิจและกิจกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม นอกจากนี้ ผลดี คือ เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อส่วนรวม เป็นบทเรียนที่สำคัญและเป็นต้นแบบการทำงานให้กับเจ้าหน้าที่ราชการส่วนกลาง และส่วนภูมิภาค

นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวต่อว่า ยกตัวอย่างเรื่องการสวมใส่ผ้าไทย มีนโยบายรณรงค์ส่งเสริมสวมใส่ผ้าไทยจากผู้บริหารองค์กรอาจจะมีบางคนรู้สึกไม่ชอบ แต่เมื่อใส่ไปแล้วคิดถึงหลักเหตุผล ท่านผู้สวมใส่จะมีความตระหนักถึงคุณค่าของการสวมใส่ผ้าไทย ว่า ผ้าไทยนี้เกิดจากเกษตรกร ที่ใช้เวลาว่างหลังจากการทำการเกษตร มาทอผ้า เกิดเป็นเสื้อผ้านำไปใช้สวมใส่กันในพื้นที่ หากมีปริมาณมากก็นำมาขาย สร้างเป็นอาชีพหลักและอาชีพเสริม ซึ่งพวกเราในฐานะผู้บริโภคมีหน้าที่สนับสนุนสินค้าที่เกิดขึ้นจากชุมชน ใช้ Demand นำ Supply เพื่อให้ผู้ผลิตเขามีรายได้ ไปพัฒนาคุณภาพชีวิตของเขา มีบ้านที่ดี ลูกหลานได้มีโอกาสเรียนหนังสือ มีโอกาสเข้าถึงการรักษาโรคในสถานพยาบาลที่ดี เป็นต้น นอกจากนี้ ยังแสดงให้เห็นอัตลักษณ์ความเป็นไทยได้นอกเหนือจากรูปลักษณ์ทางกายภาพ เช่น หน้าตา ภาษา ว่าเป็นคนไทยที่อยู่ภูมิภาคเอเชีย ปัจจุบัน กระทรวงมหาดไทยมีการรณรงค์ให้สวมใส่ผ้าไทย จนเป็นอัตลักษณ์และเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปแล้วว่า ถ้าใครใส่ผ้าไทยมีความน่าจะเป็นสูงว่ามาจากกระทรวงมหาดไทย สิ่งเหล่านี้อยากชวนให้ทุกท่านมองกันอย่างลึกซึ้ง เพราะเป็นหนึ่งในเรื่องความมั่นคง ที่มาจากปัจจัย 4 ได้แก่ อาหาร ยา เครื่องนุ่งห่ม และที่อยู่อาศัย ซึ่งจะเสริมสร้างความมั่นคงภายในชาติด้วยตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ทรงพระราชทานไว้ให้ว่าเราต้องพึ่งพาตนเอง และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่านทรงมีพระราชปณิธานที่แน่วแน่ในการสืบสาน รักษาและต่อยอดแนวพระราชดำริที่ยังประโยชน์แก่พี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน การนำไปสู่ความมั่นคงได้นั้นต้องพึ่งพาตนเองให้ได้ก่อน อย่าเข้าใจว่าเงินซื้อทุกอย่างได้ ถ้าวันหนึ่งเกิดวิกฤติที่เป็นภัยร้ายแรงต่อมนุษยชาติ แล้วประเทศมหาอำนาจเลือกที่จะไม่ขายสินค้าให้กับประเทศอื่นๆ เมื่อนั้นเงินจะกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีคุณค่าและประเทศของเราต้องหันมาพึ่งพาตนเอง เหมือนเช่นวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรนา 2019 ที่เพิ่งเกิดขึ้น โชคดีที่ประเทศของเรามีความมั่นคงทางอาหารและมีความอุดมสมบูรณ์จึงไม่ค่อยประสบปัญหาการนำเข้าอาหารจากประเทศเพื่อนบ้าน

ผู้ช่วยศาสตราจารย์พิเชฐ โสวิทยสกุล ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย รองประธานคณะทำงานฯ กล่าวว่า การขับเคลื่อนงานของคณะทำงานเฉพาะกิจด้านติดตาม หนุนเสริมและประเมินผลเป็นส่วนหนึ่งของ 5 กลไก ซึ่งประกอบด้วย 5 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านการประสานงานภาคีเครือข่าย 2) ด้านบูรณาการแผนงานและยุทธศาสตร์ 3) ด้านติดตามหนุนเสริมและประเมินผล 4) ด้านการจัดการความรู้ และ 5) ด้านการสื่อสารสังคม ขณะนี้อยู่ระหว่างการออกแบบ Model การจัดเก็บข้อมูลโดยจะให้ผู้ว่าราชการจังหวัด และนายอำเภอ เป็นผู้เก็บรวบรวมและนำเข้าข้อมูล เพื่อสามารถนำไปใช้ในการบูรณาการในแต่ละพื้นที่ได้ รวมถึงการทำงานด้านอื่นๆ อาทิ การแก้ไขปัญหาความยากจน ปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง น้ำเสีย ปัญหาเรื่องที่ดิน หรือปัญหาตามข้อร้องเรียนร้องทุกข์ต่างๆ ที่อยู่ในระบบของศูนย์ดำรงธรรม การมีระบบ Data Monitoring ช่วยให้การทำงานสอดคล้องกับข้อมูลในระบบ Thai QM และ TPMAP และตัวชี้วัดความยั่งยืน SDGs ขององค์การสหประชาชาติ นอกจากนี้ กระทรวงมหาดไทยสามารถใช้ระบบนี้ที่มีลักษณะเป็น Dash Board ในการนำเสนอทำให้ง่ายต่อการเข้าใจ และติดตามรายงานผลการดำเนินงานตามแผนงานและยุทธศาสตร์ของกระทรวงมหาดไทยในภาพรวม อีกทั้งยังช่วยในเรื่องของการตัดสินใจด้านงบประมาณ ของฝ่ายบริหารในการนโยบาย เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนในพื้นที่อีกด้วย

นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวทิ้งท้ายว่า การรวมกลุ่มต่างๆ ในสังคม ทั้งในเรื่องจิตอาสา ที่มีการทำกิจกรรมทำความดีต่างๆ ล้วนแต่เป็นเครื่องมือที่จะนำไปสู่ความรู้ความเข้าใจ ว่าเราทุกคนต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน นำไปสู่พลังจิตอาสาที่มีสมาชิกจำนวนมากขึ้น เพื่อทำให้การขับเคลื่อนกิจกรรมดีๆ ไปสู่การขยายผลที่กว้างขึ้น ที่สำคัญต้องเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งสิ่งที่สำคัญ คือ การสื่อสาร สิ่งที่กระทรวงมหาดไทยในขณะนี้กำลังศึกษาความเป็นไปได้และทดลองสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนภารกิจตามแผนงานและยุทธศาสตร์ต่างๆ ในแต่ละพื้นที่ โดยการตั้งเป้าหมายนำองค์กรสู่การขับเคลื่อนองค์กรด้วยข้อมูล หรือ Data Driven Organization ที่มีการนำระบบจัดการและติดตามข้อมูลในระบบสารสนเทศ (Data Monitoring) แบบ Real-time ซึ่งคาดว่าจะเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการติดตามความสำเร็จ และทำให้ทุกคนเห็นภาพ และมีเป้าหมายการทำงาน (Direction) เดียวกัน.