รองนายกฯ ชื่นชม "กำพล วัชรพล" มีคุณูปการต่อการศึกษาชาติ ก่อตั้งโรงเรียนไทยรัฐวิทยา-มูลนิธิไทยรัฐ สร้างชื่อเสียงเกียรติคุณขจรขจายระดับโลก หลังยูเนสโกประกาศ "บุคคลสำคัญของโลก" ด้านการศึกษาและสื่อสารมวลชน พร้อมยกย่อง ไทยรัฐวิทยา "รัฐประชาศึกษาสมาสัย" ชี้ การเรียนประวัติศาสตร์ สร้างความเข้าใจ-ภูมิใจ-ปรับใช้ให้เกิดประโยชน์
เมื่อวันที่ 8 ส.ค. ที่โรงแรมนภาลัย จ.อุดรธานี ศ.กิตติคุณ ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดงานสัมมนาผู้บริหารโรงเรียนไทยรัฐวิทยา 111 แห่งทั่วราชอาณาจักร ครั้งที่ 40 ประจำปี 2565 โดยมี น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ พร้อมด้วย นายพัฒนะ พัฒนทวีดล รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) นางเกศทิพย์ ศุภวินิช รองเลขาธิการ กพฐ. ว่าที่ร้อยตรีธนุ วงษ์จินดา รองเลขาธิการ กพฐ. นายวันชัย จันทร์พร รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี นายมานิจ สุขสมจิตร กรรมการบริหารมูลนิธิไทยรัฐ นายสมชาย กรุสวนสมบัติ กรรมการมูลนิธิไทยรัฐ และ นายวิเชน โพชนุกูล เลขาธิการมูลนิธิไทยรัฐ ร่วมงาน
นายมานิจ กล่าวรายงานว่า โรงเรียนไทยรัฐวิทยาเป็นโรงเรียนที่นายกำพล วัชรพล เจ้าของหนังสือพิมพ์ ไทยรัฐผู้ล่วงลับ ได้ก่อตั้งโครงการโรงเรียนไทยรัฐวิทยาเพื่อชุมชนในชนบทที่ห่าง ไกลความเจริญ ด้วยเงินจากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เพื่อเฉลี่ยความสุข ให้โอกาสที่เท่าเทียม และลดความเหลื่อมล้ำของสังคม แม้ว่าเราจะทำได้เพียง จำนวน 111 โรง เราก็พยายามทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะพึงทำได้
นายมานิจ กล่าวต่อว่า โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ได้ทำความตกลงกับ สพฐ. เพิ่มการเรียนการสอนในวิชาสำคัญที่นอกเหนือไปจาก 8 สาระการเรียนรู้ที่มีอยู่แล้ว อีก 2 วิชาคือ วิชาความฉลาดรู้เรื่องสื่อ กับวิชาหน้าที่พลเมืองและศีลธรรม และในปีการศึกษา 2566 จะเพิ่มการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ด้วย ซึ่งจะช่วยให้นักเรียนรู้จักตัวเอง มรดกวัฒนธรรมของมนุษยชาติ และเป็นการสนองตอบเจตนาดีที่กระทรวงศึกษาธิการและ สพฐ. ที่อยาก จะฟื้นฟูวิชาประวัติศาสตร์ขึ้นมาในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของประเทศ
ศ.กิตติคุณ ดร.วิษณุ กล่าวเปิดงานสัมมนาว่า การจัดงานสัมมนาครั้งนี้ทำให้ภาครัฐซึ่งรับผิดชอบในการจัดการศึกษาของชาติได้มีโอกาสพบกับภาคเอกชน คือ มูลนิธิไทยรัฐ ซึ่งเข้ามาช่วยเหลือเอื้อเฟื้อเกื้อกูลให้การจัดการศึกษาของชาติดำเนินไปอย่างดีและได้ผล ทั้งยังได้พบกับบรรดาผู้บริหารโรงเรียนไทยรัฐวิทยาทุกแห่งที่มีอยู่ในประเทศไทย ซึ่งทำภารกิจสำคัญด้านการศึกษาในการช่วยกระทรวงศึกษาธิการ ช่วยรัฐบาลช่วยชาติไปในตัวเวลาที่เราพูดถึงความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในด้านธุรกิจพาณิชยกรรม มีคำศัพท์เรียกว่า PPP หรือ Public- Private Partnership แต่เราไม่ค่อยมีตัวอย่างของการที่ภาครัฐและเอกชนจับมือกันในการพัฒนาการศึกษาของชาติ
กรณีมูลนิธิไทยรัฐที่ได้จัดตั้งโรงเรียนไทยรัฐวิทยาขึ้น เป็นการแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนในด้านการศึกษา และก็ทำอย่างดี ได้ผล ยั่งยืน มั่นคงมาอย่างยาวนาน ตรงนี้น่าจะเรียกได้ว่าไม่ใช่ PPP เพราะไม่มีการเสนอหาค้ากำไร และไม่ใช่ประชารัฐ เพราะไม่มีนัยทางการเมืองใดๆ แฝงอยู่ ตนอยากจะเรียกว่า เป็นรัฐประชาศึกษาสมาสัย คำนี้หมายความถึงการที่ภาครัฐ และภาคประชาชนได้อาศัยช่วยเหลือซึ่งกันและกันในด้านการศึกษา
"การที่ภาคเอกชนเข้ามาช่วยเหลือการศึกษาของชาติก็มีให้เห็นอยู่บ้างในหลายกรณี แต่ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการบริจาคที่ดินในการสร้างโรงเรียนหรือ บริจาคให้รัฐนำไปจัดสร้างโรงเรียนเท่านั้น ซึ่งไม่เหมือนกับการที่มูลนิธิไทยรัฐจัดขึ้น ซึ่งไม่เพียงจัดตั้งโรงเรียนในท้องถิ่นทุรกันดาร แต่ยังมีโครงการอื่นๆ ติดตามอยู่มาเป็นอันมากชนิดเรียกว่าไม่ทอดทิ้งโรงเรียนเหล่านั้นให้อยู่ในมือของการจัดการถัดไป ซึ่งบางครั้งอาจจะล้มเหลวไม่ได้ผลหรืออาจจะไม่บังเกิดประโยชน์ดังที่ผู้จัดตั้งโรงเรียนต้องการ" ศ.กิตติคุณ ดร.วิษณุ กล่าว

ศ.กิตติคุณ ดร.วิษณุ กล่าวด้วยว่า นายกำพล วัชรพล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐและมูลนิธิไทยรัฐ นำรายได้จากการประกอบกิจการการสื่อมวลชนมาจัดสร้างโรงเรียนขึ้นมากมายหลายแห่ง จนแม้ถึงแก่อนิจกรรมไปแล้วก็ยังมีผู้สืบทอดเจตนารมณ์ ในการสร้างโรงเรียนต่อไปอีก จนบัดนี้นับได้ 111 โรง โดยโรงเรียนเหล่านี้ หากสิ้น นายกำพล วัชรพล ไปก็อาจจะไม่มีผู้ใดมาดูแล และจะเป็นภาระของรัฐ 100% แต่คงเป็นด้วยความห่วงใยอาลัยอาวรณ์ นายกำพล จึงจัดตั้งมูลนิธิไทยรัฐขึ้นมา เพื่อทำนุบำรุงดูแลโรงเรียนเหล่านี้ทั้งหมด มาจนถึงบัดนี้มูลนิธิไทยรัฐไม่ได้สร้างเพียงโรงเรียนหรืออาคารทิ้งเอาไว้ หากแต่ยังมีโครงการอื่นๆ ขึ้นมาด้วย เช่น จัดให้มีทุนอาหารกลางวันแก่เด็กนักเรียน จัดการประชุมสัมมนาผู้บริหารโรงเรียนไทยรัฐวิทยา
รองนายกฯ กล่าวอีกว่า นายกำพล ถึงแก่อนิจกรรมไปโดยที่ท่านไม่ได้รู้ว่า โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ที่ได้ก่อตั้งนั้น ต่อไปจะสำเร็จเกิดดอกออกผลอำนวยประโยชน์แก่ประเทศชาติมากน้อยเพียงใด ท่านก็เห็นเพียงเท่าในสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ แต่เมื่อสิ้นชีวิตไปแล้วมีผู้คนที่เห็นคุณงามความดี เห็นคุณูปการที่ นายกำพล มีต่อการศึกษาของชาติ เห็นเจตนาดีที่ท่านได้จัดตั้งโรงเรียนและมูลนิธิไทยรัฐขึ้น สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดชื่อเสียงเกียรติคุณขจรขจาย ไม่เพียงแต่เกิดความซึ้งใจประทับใจในเด็กและเยาวชนของชาติ ในบรรดาครูอาจารย์ของชาติ ในวงการศึกษาของชาติ แต่สะท้อนไปจนกระทั่งถึงองค์การระดับโลก อย่างยูเนสโก
ด้วยเหตุนี้เอง ในโอกาสที่นายกำพล มีอายุชาตกาลครบ 100 ปี ในปี 2562 ยูเนสโก จึงได้ประกาศให้นายกำพล เป็นบุคคลสำคัญของโลก มีผลงานดีเด่นด้านสื่อสารมวลชนและการศึกษา และเชิญชวนให้บรรดาประเทศสมาชิกของสหประชาชาติทั้งหลายร่วมเฉลิมฉลองเกียรติคุณนี้ ให้แก่คนไทยที่เป็นลำดับที่ 28 ทั้งที่เป็นสามัญชนคนธรรมดาคนหนึ่ง ซึ่งท่านได้ประกาศว่า ท่านเกิดมาเป็นคนยากจน การศึกษาน้อย เมื่อวัยเด็กต้องประกอบอาชีพล่องเรือขายข้าวไปตามริมน้ำ วันดีคืนดีโชคดีประกอบอาชีพประสบความสำเร็จ มีเพื่อนฝูง มีคนรัก มีเพื่อนร่วมงาน ทำหนังสือพิมพ์ประสบความสำเร็จเป็นที่รู้จักทั่วประเทศ มีผลกำไรท่านจึงอยากคืนกำไรให้แก่สังคม แต่คืนทางใดก็คงไม่บังเกิดผลสะใจ สมใจเท่ากับการคืนให้การศึกษาเท่ากับเป็นการปั้นคนพัฒนาคนให้มีสติปัญญา คนเหล่านั้นจะได้เรียนรู้ ได้เฉลียวฉลาด มีสติปัญญามาก อย่างที่ท่านเองเคยอยากมีและไม่มีโอกาสตรงนี้ไปเกียรติคุณที่น่ายกย่อง
"ผมเคยมีโอกาสไปตรวจราชการอยู่หลายแห่ง มีโอกาสได้พบกับคนที่มารายงานตัว เมื่อสอบถามว่าเรียนหนังสือที่ไหน จบจากที่ไหน ก็ได้คำตอบอย่างภาคภูมิใจว่า จบจากโรงเรียนเล็กๆ ชื่อโรงเรียนไทยรัฐวิทยาแห่งนั้น แห่งนี้ ตรงนี้แสดงให้เห็นว่าโรงเรียนไทยรัฐวิทยาได้ก่อตั้งขึ้นบัดนี้ 111 แห่ง ได้ผลิตบุคลากรออกมาทำประโยชน์แก่ประเทศชาติเป็นจำนวนมาก และเมื่อคนเหล่านี้เติบใหญ่ขึ้น น่าเชื่อว่าจะมีพลังจิต พลังใจและมีความแข็งแกร่ง มุมานะ มีความทะเยอทะยานที่จะก่อร่างสร้างประเทศหรือมีส่วนในการพัฒนาประเทศให้เจริญยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นการสอดคล้องกับปณิธานที่นายกำพลได้วางและมอบให้มูลนิธิไทยรัฐได้สืบทอดเจตนารมณ์นั้นต่อมาจนถึงบัดนี้และต่อไปในอนาคต" รองนายกฯ กล่าว
ศ.กิตติคุณ ดร.วิษณุ กล่าวต่อไปว่า การประชุมครั้งนี้เป็นครั้งที่ 40 ก็เพื่อประโยชน์ให้ผู้บริหารโรงเรียนทั้งหลายได้มาพบปะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ แลกเปลี่ยนปัญหาอุปสรรคซึ่งกันและกัน และช่วยกันคิดหาทางที่จะแก้ไข เป็นการสื่อว่าเรื่องราวในอดีตเป็นมาอย่างไรและจะก้าวสู่ไปทิศทางอย่างไร อีกทั้งทำให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างสถาบันการศึกษาคือโรงเรียนไทยรัฐวิทยา กับภาครัฐคือกระทรวงศึกษาธิการ โดยเฉพาะสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่จะช่วยสร้างการเรียนรู้ปัญหาอุปสรรคและแก้ไข โดยเฉพาะภาวะโควิด-19 ที่นักเรียนขาดแคลน ครูอาจารย์อาจจะเจ็บป่วย ผู้ปกครองอาจจะต้องย้ายถิ่นฐาน และโรงเรียนอาจจะต้องขาดแคลนครู สิ่งเหล่านี้เป็นประเด็นที่จะนำมาสัมมนาในการประชุมประจำปี
นอกจากนั้น มูลนิธิไทยรัฐยังร่วมมือกับผู้ที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนพัฒนายุทธศาสตร์ในส่วนของโรงเรียนไทยรัฐวิทยา โดยเพิ่มวิชาพิเศษอีกสองวิชาที่หาไม่ได้ในโรงเรียนสามัญชนิดอื่น คือ วิชาที่ว่าด้วยความรอบรู้เกี่ยวกับสื่อมวลชน และวิชาหน้าที่พลเมืองและศีลธรรม ซึ่งทั้งสองวิชานี้เป็นวิชาสำคัญที่จะทำให้มีการพัฒนาบุคลากรจนเป็นบุคลากรที่ดีของประเทศชาติในอนาคตต่อไป

จากนั้น ศ.กิตติคุณ ดร.วิษณุ ปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “ประวัติศาสตร์ที่ไม่ควรลืม” ตอนหนึ่งว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และตนมีความห่วงใยที่อยากจะนำวิชาประวัติศาสตร์กลับขึ้นมาให้เป็นวิชาหลัก ไม่ใช่ไปสอดแทรกเข้าไปในวิชาอื่น เพราะเกรงว่าในที่สุดก็จะถูกมองข้ามไป
ดังนั้น ตนยินดีและดีใจเป็นอย่างมากที่ มูลนิธิไทยรัฐได้ขอประสานกับ สพฐ. ในการเพิ่มวิชาประวัติศาสตร์เข้าไปในหลักสูตรของโรงเรียนไทยรัฐวิทยา ซึ่งก็สามารถทำได้ และตอนนี้ตน และ น.ส.ตรีนุช ได้ทำเรื่องนวัตกรรมทางการศึกษาหรือพื้นที่ทดลองทางการศึกษา โดยได้เลือกโรงเรียนในไม่กี่จังหวัดที่ประกาศเป็นพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา ซึ่งมีอะไรที่แปลกไปจากโรงเรียนอื่น และถ้าเป็นได้ก็อยากฝากผู้ที่เกี่ยวข้องว่า อาจจะนำวิชาความรอบรู้เกี่ยวกับสื่อมวลชนวิชาหน้าที่พลเมืองและศีลธรรม รวมถึงประวัติศาสตร์ใส่ไว้ในหลักสูตรของโรงเรียนพื้นที่นวัตกรรมด้วย ถ้าทำได้ก็จะเป็นการดี
รองนายกฯ กล่าวอีกว่า ประวัติศาสตร์นั้นมีประโยชน์มากมายหลายประการ ประการที่ 1 ใช้คำภาษาอังกฤษว่า To Understand คือประวัติศาสตร์ทำให้เราเข้าอกเข้าใจซาบซึ้งตรึงใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีต อะไรก็ตามถ้าเรารู้เรื่องในอดีตแล้วจะทำให้เราเข้าใจ และเมื่อเข้าใจแล้ว จะสามารถคิดอะไรต่อได้อีกหลายอย่าง ถ้านำมาใช้ให้เป็นก็จะเป็นประโยชน์
ประการที่ 2 To be proud คือ การเรียนรู้เข้าใจประวัติศาสตร์จะทำให้เราเกิดความภาคภูมิใจ ถ้าเราเข้าใจ ประวัติศาสตร์ ของครอบครัววงศ์สกุล ของเรา เราจะเกิดความภาคภูมิใจในตระกูลของเราถ้าเรามีความรู้ความเข้าใจประวัติศาสตร์ของประเทศเราก็จะเกิดความภาคภูมิใจในประเทศของเรา จะมองเห็นอะไรต่อมิอะไรได้ทะลุปรุโปร่ง ดังที่นักปราชญ์จีนคนหนึ่ง ชื่อ ซุนวู ได้เคยเขียนเอาไว้ว่า คนที่รู้เขารู้เรารบ 100 ครั้งก็ชนะ 100 ครั้ง คนที่ไม่รู้ประวัติศาสตร์ของเขา ไม่รู้ประวัติศาสตร์ของเรา เมื่อรบไปก็เหมือนกับคนตาบอดคลำช้างรบไปส่งเดชอย่างนั้นเอง ถ้าชนะก็เป็นเราฟลุก
ประการที่ 3 คือ To Apply ถ้ารู้ประวัติศาสตร์แล้วสามารถดึงนำมาใช้ประโยชน์ ก็จะเป็นประโยชน์เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นทุกวันนี้อาจจะเคยเกิดขึ้นแล้วในอดีตแล้วถ้าเรารู้ว่าในอดีตได้แก้ปัญหานั้นอย่างไร เราก็อาจจะนำมาใช้แก้ปัญหาด้วยวิธีเดียวกันหรือถ้าสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปเราก็จะสามารถดัดแปลงได้.