เตรียมใจ! สธ.คาดอีกไม่นาน โควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน BA.4/BA.5 จะครองไทยทั้งประเทศ หลังจำแนกสายพันธุ์กลุ่มในประเทศ 900 คน พบติดเชื้อแล้วร้อยละ 50 พบมากสุดใน กทม. ยอมรับยอดผู้ติดเชื้อเป็นช่วงขาขึ้น แต่อัตราครองเตียงผู้ป่วยอาการหนักยังรับไหว ยืนยันยังไม่พบสายพันธุ์ BA.2.75 พร้อมขอเวลาประเมิน 10 สัปดาห์ หากประชาชนยังยกการ์ดสูง คาดเดือน ก.ย.ผู้ป่วยเข้ารพ.ไม่เกินวันละ 4,000 คน ด้านนายกฯวอน ปชช.รีบฉีดเข็มกระตุ้น ขณะที่ “หมอยง” แนะคนติดเชื้อต้องกักตัว 10 วันถึงปลอดภัยไม่แพร่เชื้อต่อ

ยิ่งใกล้วันประกาศให้โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด-19) เป็นโรคประจำถิ่น ไทยยังพบผู้ติดเชื้อโรคโควิด-19 รายใหม่หลายพันคนต่อวัน โดยเมื่อวันที่ 4 ก.ค. นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยรายงานผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 วันนี้ พบผู้ติดเชื้อรายใหม่จำนวน 1,995 คน จำแนกเป็นผู้ป่วยในประเทศ 1,993 คน ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 2 คน หายป่วยกลับบ้านแล้ว 2,148 คน ผู้ป่วยกำลังรักษา 24,818 คน มีผู้ป่วยปอดอักเสบรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล จำนวน 677 คน และมีผู้เสียชีวิต 18 ราย ขณะเดียวกัน มีผู้ติดเชื้อ เข้าข่าย ATK เป็นบวก 1,609 คน โดย กทม.มีผู้ติดเชื้อสูงสุด 1,484 คน ทำให้ตั้งแต่ 1 ม.ค.2565 มีจำนวนผู้ป่วยสะสม 2,308,665 คน หายป่วยสะสม 2,308,070 คน เสียชีวิตสะสม 9,020 คน

...

นายธนกรกล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ได้กำชับให้กระทรวงสาธารณสุขจัดเตรียมเวชภัณฑ์ บุคลากร และสถานที่ให้มีความพร้อมเพียงพอ และขอให้ประชาชนยังคงปฏิบัติตามมาตรการป้องกันตนเอง ร่วมกันเฝ้าระวังเพื่อไม่ให้เกิดการระบาดเป็นคลัสเตอร์ใหญ่ๆ รวมทั้งรณรงค์และอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในการเข้ารับการฉีดวัคซีน โดยเร่งสำรวจพื้นที่ที่ยังมีการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นต่ำกว่าเป้าหมาย แล้วดำเนินการให้ประชาชนสามารถเข้าถึงวัคซีนเข็มกระตุ้นได้อย่างทั่วถึง สะดวก และง่ายที่สุด

ทั้งนี้ กรมควบคุมโรค สรุปผลการฉีดวัคซีนโควิด-19 เมื่อวันที่ 3 ก.ค.2565 ฉีดได้เพิ่ม 36,314 โดส เป็นเข็มแรก 2,183 ราย เข็มสอง 4,218 ราย และเข็มสามขึ้นไป 29,913 ราย รวมฉีดวัคซีนสะสมตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ.2564 จำนวน 140,036,597 โดส แยกเป็นเข็มแรก 57,002,226 ราย คิดเป็นร้อยละ 82.09 ของประชากร เข็มสอง 53,214,484 ราย คิดเป็นร้อยละ 76.5 ของประชากร และเข็มสามขึ้นไป 29,819,887 ราย คิดเป็นร้อยละ 42.9 ของประชากร

ต่อมาที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยความคืบหน้าการเฝ้าระวังสายพันธุ์โควิด-19 สายพันธุ์ย่อยของโอมิครอนว่า สายพันธุ์ที่แพร่ระบาดในประเทศไทยขณะนี้คือ สายพันธุ์โอมิครอนทั้งหมด และจากการจำแนกสายพันธุ์ที่เฝ้าระวัง สัปดาห์ที่ผ่านมา วันที่ 25 มิ.ย.-1 ก.ค.2565 จำนวน 948 คน เป็นสายพันธุ์ BA.1 จำนวน 10 คน BA.2 จำนวน 447 คน และ BA.5 จำนวน 489 คน สาเหตุที่ไม่ได้แยกการหาเชื้อ BA.4 และ BA.5 เพราะทั้งสองสายพันธุ์กลายพันธุ์ในตำแหน่งที่คล้ายกัน โดยเมื่อแยกสายพันธุ์จากกลุ่มผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ จำนวน 46 คน พบว่า เป็น BA.4/BA.5 จำนวน 36 คน คิดเป็นร้อยละ 78.3 เป็น BA.2 จำนวน 10 คน คิดเป็นร้อยละ 21.7 ส่วนกลุ่มในประเทศ จำนวน 900 คน พบว่า เป็น BA.4/BA.5 จำนวน 453 หรือคิดเป็นร้อยละ 50.3 และเป็น BA.2 จำนวน 437 คน คิดเป็นร้อยละ 48.6 แม้ว่าขณะนี้ยังมีสัดส่วนใกล้เคียงกัน แต่จะพบสายพันธุ์ BA.4/BA.5 เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน คาดว่าอีกไม่นานจะครองทั่วประเทศ โดยขณะนี้พบมากที่สุดใน กทม.

นพ.ศุภกิจกล่าวอีกว่า กรมได้ตรวจสายพันธุ์ BA.4/BA.5 โดยการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งตัว จนถึงขณะนี้พบประมาณเกือบ 1 พันคน และเมื่อแยกกลุ่มของผู้ติดเชื้อสายพันธุ์นี้พบว่ากลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ กับกลุ่มอื่นๆก็ไม่แตกต่างกัน ส่วนกลุ่มอาการรุนแรงใส่ท่อช่วยหายใจยังต้องเก็บข้อมูลเพิ่มมากขึ้น โดยขณะนี้ส่งตัวอย่างมาเพียง 11 ตัวอย่าง ยังไม่สามารถสะท้อนภาพที่ชัดเจนได้ จึงได้ขอให้โรงพยาบาลต่างๆที่มีผู้ป่วยอาการหนัก ส่งตัวอย่างเชื้อมาให้กรมวิเคราะห์ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่แม่นยำมากขึ้น ส่วนกรณีมีรายงานพบสายพันธุ์ BA.2.75 พบในอินเดีย สหรัฐอเมริกา และอังกฤษ เป็นสายพันธุ์น่ากังวลนั้น หากมีปัญหามากขึ้น ทางองค์การอนามัยโลกจะจัดให้เป็น VOC-LUM หรือสายพันธุ์โอมิครอนสายพันธุ์ย่อยที่ต้องจับตามอง แต่ขณะนี้ยังไม่จัด และการรายงานข้อมูลไปที่ฐานข้อมูลโควิดโลก หรือ GISAID ยังมีน้อยเพียง 60 กว่าตัวอย่าง แต่กรมเฝ้าระวังตลอด ไทยยังไม่มีสายพันธุ์ BA.2.75 แต่อย่างใด

ด้าน นพ.จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผอ.กองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กล่าวว่า สถานการณ์โควิด-19 ของทั่วโลกมีตัวเลขเพิ่มขึ้นจากการระบาดของ BA.4/BA.5 ส่วนไทยพบ BA.5 เพิ่มขึ้นร้อยละ 20 ใกล้เคียงกับทั่วโลก เนื่องจากผ่อนคลายมาตรการให้เดินทางได้มาก โดยพบติดเชื้อเพิ่มขึ้นในกรุงเทพฯ และจังหวัดท่องเที่ยว ส่วนผู้ป่วยปอดอักเสบเริ่มเพิ่มขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา จาก 631 คน เป็น 670 คน ผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจไม่ได้เพิ่มขึ้นมาก ส่วนผู้เสียชีวิตมีลักษณะทรงตัว แต่ผู้ป่วยอาการไม่รุนแรงมีเพิ่มขึ้น โดยผู้ป่วยในระบบกักตัวที่บ้าน หรือ HI เพิ่มขึ้นจากหลัก 1 หมื่นคน เป็นเกือบ 1.5 หมื่นคน และผู้ลงทะเบียนรับยาจาก สปสช.จาก 191,000 เป็น 207,000 คน เพิ่มขึ้นค่อนข้างมากในสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่วนอัตราการครองเตียงระดับ 2-3 หรือผู้ป่วยกลุ่มสีเหลืองและแดงที่มีอาการปอดอักเสบและใส่ท่อช่วยหายใจ ภาพรวมทั้งประเทศครองเตียงร้อยละ 10 บางจังหวัดมีอัตราการครองเตียง ระดับ 2-3 ที่สูง เช่น กทม. อยู่ที่ร้อยละ 35.6 สมุทรปราการร้อยละ 28.2 ภูเก็ต ร้อยละ 28.4 เป็นต้น แต่ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ระบบการแพทย์และสาธารณสุขรองรับได้ โดยเกณฑ์ที่กำหนดไว้คือ ร้อยละ 50 หากเพิ่มขึ้นใกล้ถึงเกณฑ์นี้ ต้องมีการบริหารจัดการเตียงเพิ่มขึ้น แต่คงไม่ถึงขนาดการตั้งโรงพยาบาลสนามเหมือนในอดีต คำแนะนำคือขอให้ยังคงสวมหน้ากากอนามัยเมื่อออกนอกบ้าน งดการร่วมกิจกรรมที่มีการรวมกลุ่ม ขนส่งสาธารณะทุกประเภท และรับวัคซีนเข็มกระตุ้น

...

ผอ.กองระบาดวิทยากล่าวอีกว่า กรมควบคุมโรคคาดการณ์การระบาดของจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิต ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.2565 ถึงปี 2566 คาดว่าหลังการผ่อนคลายกิจกรรมต่างๆ และมีผู้เดินทางเข้าประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ มีโอกาสที่จะมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น ขณะนี้เราอยู่ในช่วงขาขึ้น คาดว่าในอีก 10 สัปดาห์ หรือประมาณเดือน ก.ย.หากเรายังคงมาตรการ โดยทุกคนสวมหน้ากากอนามัย เมื่อผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น คาดว่าจะมีผู้ป่วยเข้าโรงพยาบาลไม่ควรเกินวันละ 4,000 คน แต่หากผ่อนคลายหมด คนไม่สวมหน้ากากเลย ตัวเลขคาดการณ์ผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยจะสูงขึ้นจากที่คาดไว้ ดังนั้น ในช่วงนี้ที่เป็นขาขึ้น อยากให้ประชาชนมารับวัคซีนและวัคซีนเข็มกระตุ้น

วันเดียวกัน ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะด้านไวรัสวิทยา คลินิกภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กเกี่ยวกับระยะเวลาในการเก็บตัวของผู้ป่วยโควิด-19 ควรกี่วันเพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อไปติดผู้อื่น โดยระบุว่า วารสารสมาคมแพทย์ อเมริกันและใน New England Journal of Medicine ดูจากการเพาะเชื้อ ถ้าไวรัสยังมีชีวิตอยู่ก็สามารถเพาะเชื้อเจริญเติบโตขึ้นมาได้ในเซลล์เพาะเลี้ยง แสดงว่ายังสามารถแพร่กระจายเชื้อได้ ระยะเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ติดเชื้อแบบมีอาการหรือไม่มีอาการ ระยะเวลายังคงเหมือนกัน เช่นเดียวกันผู้ที่ฉีดวัคซีนมาแล้วหรือไม่ได้ฉีดวัคซีนยังคงเป็น 10 วันเหมือนเดิม ดังนั้น ในผู้ที่ติดเชื้อควรกักตัวและป้องกันตัวเองอย่างน้อย 10 วัน จึงจะนับว่าปลอดภัย แต่บางคนเมื่ออาการดีขึ้นแล้ว เอาเป็นว่า 7 วันที่ต้องกักตัวอยู่บ้านและพออนุโลม 3 วันหลัง ถ้าจะออกไปไหนจะต้องพึงสำนึกเสมอว่ายังแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้ จะต้องป้องกันตัวเองเต็มที่ ไม่ให้ไปแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น การตรวจ ATK ส่วนใหญ่ ATK จะเป็นบวก ล้อตามกับการเพาะเชื้อ แต่เราคงไม่เอาผล ATK มาเป็นตัวตัดสินว่า ATK เป็นลบแล้วจะไม่แพร่เชื้อ เพราะเราจะต้องป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ 10 วันอยู่ดี

...

ต่อมาในช่วงบ่าย ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข กล่าวหลังเป็นประธานเปิดงาน Meet & Greet “Thailand Moving Together กอด กิน บิน เที่ยว ใช้ชีวิตใกล้ชิดอีกครั้ง” หลังหายป่วยจากโควิด-19 ว่า รู้สึกดีใจที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิกลับมามีชีวิตชีวาเหมือนเดิม อย่างไรก็ตาม แม้มีการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ แต่สิ่งสำคัญขอให้ทุกคนยังต้องปฏิบัติตามมาตรการ 2 U คือ Universal Prevention เว้นระยะห่าง ล้างมือ และใส่หน้ากาก โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในสถานที่อากาศปิด สถานที่แออัด และเป็นกลุ่มเสี่ยง กับ Universal Vaccination เข้ารับวัคซีนเข็มกระตุ้น หรืออย่างน้อยได้รับวัคซีน 3 เข็ม แต่เนื่องจากมีการพบเชื้อโควิด-19 โอมิครอน BA.4 และ BA.5 ในกลุ่มผู้มาจากต่างประเทศในสัดส่วนสูงกว่าผู้ติดเชื้อในประเทศ จึงขอให้ผู้ที่ทำงานใกล้ชิดกับนักท่องเที่ยวเข้ารับวัคซีนเข็มกระตุ้นทุก 4-6 เดือน เพื่อเพิ่มภูมิ คุ้มกันให้มีความปลอดภัยมากขึ้น

ขณะที่ น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ กล่าวถึงกรณีโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย จ.ลำปาง ออกประกาศเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเรียนในวันที่ 4-6 ก.ค.2565 ให้เป็นรูปแบบออนไลน์ 100 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากโรคโควิดกำลังระบาดหนักว่า ได้สั่งการให้เขตพื้นที่การศึกษาลงไปตรวจสอบดูแลความเรียบร้อยแล้ว โรงเรียนมีอำนาจในการบริหารจัดการได้เอง เพราะเราไม่มีนโยบายสั่งปิดโรงเรียนอีกต่อไปแล้ว อีกทั้งเร็วๆนี้รัฐบาลจะประกาศให้โควิดเป็นโรคประจำถิ่น ดังนั้น ทุกคนจะต้องอยู่กับโรคนี้ให้ได้ อย่างไรก็ตาม การติดเชื้อโควิดในกลุ่มนักเรียนได้รับรายงานมาโดยตลอด พร้อมกับเร่งระดมฉีดวัคซีนให้แก่นักเรียนตั้งแต่อายุ 6-18 ปี

...

นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงนี้ยังคงมีคนดังติดโควิด-19 เพิ่มอีก โดยล่าสุด ผู้ประกาศคนดัง ไก่ ภาษิต อภิญญาวาท ก็แจ้งติดโควิด-19 อีกราย หลังจากไบรท์ พิชญทัฬห์ ผู้ประกาศข่าวเรื่องเล่าเช้านี้ แจ้งติดโควิด หลังโต๋ ศักดิ์สิทธิ์ สามีตรวจพบติดโควิดมาก่อนหน้านี้ โดยไก่ ภาษิต ได้โพสต์ภาพลงอินสตาแกรม เมื่อคืนวันที่ 3 มิ.ย.ที่ผ่านมา พร้อมแคปชัน “3 ก.ค.65 จัดไป” ซึ่งเป็นภาพผลตรวจ ATK ที่ขึ้น 2 ขีด ทำให้แฟนคลับรวมทั้งคนในวงการ ต่างเข้ามาให้กำลังใจล้นหลาม รวมถึงไบรท์และโต๋ที่แสดงความคิดเห็นว่า “เป็นพร้อมกันเลยยย หายไวๆนะคะคุณพี่”

ต่อมาในช่วงเย็น นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมบอร์ด สปสช.มีมติเห็นชอบปรับหลักเกณฑ์แนวทางการจ่ายชดเชยบริการโควิด-19 กรณีปรับโรคโควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่นตามนโยบายรัฐบาล กลับไปเบิกจ่ายตามระบบปกติ มีผล 4 ก.ค.นี้เป็นต้นไป อาทิ การจ่ายชดเชยค่าบริการสำหรับคนไทยทุกสิทธิ ได้แก่ ค่าบริการ ฉีดวัคซีนโควิด-19 ค่าบริหารจัดการศพ ค่าความเสียหายจากการฉีดวัคซีนจะถูกยกเลิก แล้วปรับใช้สิทธิจากกองทุนสุขภาพของแต่ละกองทุนตามระบบปกติ ค่าบริการดูแลรักษาผู้ป่วย กรณีผู้ป่วยนอก ค่าบริการแบบเจอ แจก จบ จะจ่ายชดเชยผู้ป่วยนอกตามระบบปกติ กรณีผู้ป่วยใน ยกเลิกการจ่ายเพิ่มเรื่องค่าห้องและค่าอุปกรณ์ป้องกัน ส่วนยารักษาโรคโควิด-19 ยังเบิกจากกระทรวงสาธารณสุขได้ต่อไป เป็นต้น ส่วนการบริการแบบเจอ แจก จบ ที่ร้านขายยาที่เข้าร่วมโครงการ จะยังให้บริการต่อไป โดยผู้มีสิทธิ บัตรทอง ขอรับชุดตรวจ ATK ได้ฟรีที่ร้านยา ทั้งนี้ ยืนยันการปรับหลักเกณฑ์ดังกล่าวไม่ใช่การลอยแพประชาชน ผู้ป่วยโควิด-19 ยังคงได้รับการรักษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเหมือนเดิมตามสิทธิการรักษาของตน