กสศ. ร่วมศธ.และ เอกชน และเครือข่ายโรงเรียนนานาชาติ ประกาศรางวัล Equity Partnership’s School Network ด้าน ศธ.ยกเป็นโครงการต้นแบบ สร้างนวัตกรรมทักษะอาชีพใช้ต้นทุนต่ำ ช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา เล็ง ขยายผลสู่โรงเรียนทั่วไทย
ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ Central Court กรุงเทพฯ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ร่วมกับโรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี และ Sea (ประเทศไทย) ร่วมจัดงานประกาศรางวัลและจัดแสดงผลงานนิทรรศการแสดงผลงานสร้างสรรค์ ภายใต้โครงการขยายผลและพัฒนาความร่วมมือสร้างเครือข่ายสถานศึกษาเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา หรือ “Equity Partnership’s School Network” ปีที่ 3 โดยมีคุณมารีญา พูลเลิศลาภ ในฐานะ Friend of Equity ร่วมกิจกรรม สำหรับกิจกรรมนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาและต่อยอดแนวทางการทํางานร่วมกัน สร้างความเสมอภาคทางการศึกษา ระหว่างสถานศึกษา ครู นักเรียนในพื้นที่ชนบท และสถานศึกษาในเขตเมือง โดยการสร้างพื้นที่การเรียนรู้ร่วมกันเพื่อส่งเสริมด้านการพัฒนาทักษะอาชีพ ความคิดสร้างสรรค์ และความเข้าใจในวัฒนธรรมที่แตกต่าง

...
นายวีระ แข็งกสิการ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า โครงการขยายผลและพัฒนาความร่วมมือสร้างเครือข่ายสถานศึกษาเพื่อความเสมอภาค หรือ Equity Partnership’s School Network ครั้งนี้ ดำเนินงานมาเป็นปีที่ 3 นับเป็นความร่วมมือครั้งสำคัญของเครือข่ายโรงเรียนนานาชาติ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) โรงเรียนสังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) และบริษัท SEA (ประเทศไทย) ผู้ให้บริการ platform จำหน่ายสินค้าออนไลน์ ภายใต้ชื่อ “shopee” ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา ผ่านกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน จากความหลากหลายของศักยภาพของนักเรียน การพัฒนาทักษะความคิดสร้างสรรค์ และการใช้เทคโนโลยี โดยโครงการยังช่วยพัฒนาทักษะที่ก่อประโยชน์ให้กับนักเรียน ให้สามารถนำไปต่อยอดเป็นอาชีพเพื่อสร้างรายได้ นำไปสู่โอกาสทางการศึกษาในอนาคตได้อย่างยั่งยืน อันเป็นวิธีที่จะช่วยแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยให้หมดไปได้อย่างเป็นรูปธรรม หากเราขยายผลโครงการลักษณะนี้ได้อย่างต่อเนื่อง เด็กของเราจะได้รับโอกาสในการพัฒนาศักยภาพของตนเองเพิ่มมากขึ้น สังคมไทยในทุกพื้นที่จะเป็นสังคมแห่งความเสมอภาคที่ไม่มีเด็กคนไหนถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
“นี่คือตัวอย่างของการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ที่ลงมือทำได้โดยไม่ต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก แต่อาศัยความร่วมมือ ร่วมใจจากหลากหลายภาคส่วน ในการระดมความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ เติมเต็มความรู้ ทักษะชีวิต ทักษะอาชีพให้กับเด็กๆ เป็นคุณค่าของ ALL FOR EDUCATION ปวงชนเพื่อการศึกษา ทางกระทรวงศึกษาธิการยินดีให้การสนับสนุนขยายผลโครงการฯ เพื่อให้เกิดกิจกรรมดีๆ เช่นนี้ต่อไปในอนาคต ซึ่งทางกระทรวงศึกษาธิการมีแนวทางที่จะขยายผลในเรื่องนี้ไปสู่โรงเรียนอื่นๆ ทั่วประเทศมากขึ้น เป็นโรงเรียนที่ต้องการความช่วยเหลือ หรือโรงเรียนที่ขาดโอกาส เด็กพิเศษ เพื่อจะช่วยกันลดความเหลื่อมล้ำของสังคมในระยะยาวให้มากที่สุด” รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าว

ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา กล่าวว่า โครงการนี้เป็นปีที่ 3 ที่จัดต่อเนื่องมาแล้ว 2 ปี ในครั้งนี้มีโรงเรียนในเครือข่าย กสศ. เข้าร่วมจำนวน 10 โรงเรียน แม้ว่าในปีที่ 3 นี้การจัดกิจกรรมจะเกิดสถานการณ์แพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 แต่น้องๆ นักเรียนทั้ง 10 ทีม ได้ใช้สถานการณ์นั้นเป็นโอกาส ไม่ปล่อยผ่านไป ยังคงสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ออกมาได้อย่างเต็มที่ผ่านความตั้งใจของน้องๆ ทุกคนที่ได้เรียนรู้การทำงานจากสถานการณ์จริงทุกคนได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าสถานการณ์แพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ไม่ได้เป็นอุปสรรคของการทำงานร่วมกัน มุมกลับกัน ยังเสริมสร้างความมุ่งมั่นตั้งใจและมิตรภาพของน้องๆ ทุกคนได้แน่นแฟ้นเพิ่มมากขึ้น โดยปรับรูปแบบการทํางานแนวใหม่ ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ จนสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ทรงคุณภาพตรงตามวัตถุประสงค์ได้อย่างครบถ้วน ซึ่งวันนี้นักเรียนทุกคนได้เกิดการพัฒนาทักษะด้านอาชีพและการเรียนรู้การทำงานร่วมกันในสังคม
"หัวใจสำคัญของโครงการขยายผลและพัฒนาความร่วมมือสร้างเครือข่ายสถานศึกษาเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา หรือ “Equity Partnership’s School Network” คือการสร้างพื้นที่เรียนรู้ร่วมกันระหว่างนักเรียนชนบทและเมืองปราศจากช่องว่างของความเหลื่อมล้ำ เพราะเราเชื่อว่าเด็กๆ ทุกคน ต่างมีศักยภาพที่แตกต่างกัน และนี่คือสิ่งพิเศษที่พวกเขาเติมเต็มซึ่งกันและกัน ผ่านการเรียนรู้ระหว่างเพื่อนต่างโรงเรียนได้ และได้เห็นถึงความร่วมมือของภาคเอกชนและการศึกษาในการให้เด็กๆ ได้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งของการสร้างรายได้ให้กับตนเองเพื่อนำรายได้กลับไปพัฒนาชุมชนของตนเองเพื่อก่อให้เกิดแหล่งการเรียนรู้ต่างๆ" ดร.ไกรยส กล่าว
...

ดร.ไกรยส กล่าวว่า โครงการฯ นี้ เป็นนวัตกรรมในการสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา ที่ไม่ใช่การให้ปลาแต่เป็นการให้เบ็ด ที่ทำให้ทุกคนได้เรียนรู้ และเกิดเป็นความชำนาญในการทำงานที่ช่วยเสริมทักษะ 3 ส่วนสำคัญ 1) ความเข้าใจในวัฒนธรรมที่แตกต่าง (Empathy & Cross Cultural Understanding) 2) เสริมทักษะความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) และ 3) เสริมทักษะการเป็นผู้ประกอบการออนไลน์ (Digital Entrepreneurship) ให้กับเด็กและเยาวชน ด้วยการการต่อยอดโครงการและขยายความรู้ เป็นแนวทางให้โรงเรียนส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ และการพัฒนาหลักสูตรให้มีความทันสมัยมากขึ้น ตลอดจนการพัฒนาชุมชนในด้านการสร้างรายได้และความยั่งยืนจากการต่อยอดอัตลักษณ์และวัฒนธรรมออกมาในรูปแบบผลิตภัณฑ์ที่มีทั้งคุณค่าและมูลค่าเพิ่ม นอกจากนี้โรงเรียนและชุมชนสามารถร่วมมือกันในลักษณะของการมีวิทยากรหรือปราชญ์ชาวบ้านเข้ามาเผยแพร่ความรู้ให้แก่นักเรียน มีการจัดนิทรรศการ หรือโครงการร้านค้า เพื่อการเผยแพร่ นําเสนอ และจําหน่ายสินค้าได้อย่างเป็นที่ประจักษ์ เกิดความสนใจที่จะสืบสานภูมิปัญญาเหล่านี้เพื่อสร้างความยั่งยืนให้แก่ชุมชนได้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม สำหรับความร่วมมือครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้น หรือเป็นโมเดลต้นแบบของการสร้างโอกาสทางการศึกษาที่ทุกหน่วยงานไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือเอกชนก็สามารถประสานความร่วมมือร่วมกันได้ เพื่อขยายผลสนับสนุนการพัฒนากิจกรรมฝึกทักษะอาชีพ ทักษะชีวิต ให้แก่นักเรียนด้อยโอกาสในพื้นที่ต่างๆ ของประเทศในอนาคต และแม้จะมีหน่วยงานของภาครัฐที่รับผิดชอบสร้างความเสมอภาคทางการศึกษาให้เกิดขึ้น แต่ทุกภาคส่วนในสังคม ล้วนช่วยสร้างโอกาสและลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาได้
...

คุณพุทธวรรณ สุภัทรนันท์ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร Sea (ประเทศไทย) กล่าวว่า โครงการขยายผลและพัฒนาความร่วมมือสร้างเครือข่ายสถานศึกษาเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (Equity Partnership’s School Network Season 3) เป็นกิจกรรมพัฒนาผลิตภัณฑ์และทักษะอาชีพที่สอดคล้องกับทักษะในศตวรรษที่ 21 โดยมุ่งสร้างโอกาสให้เด็กและเยาวชนสร้างอาชีพใหม่ สร้างรายได้ รวมถึงลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ต้องยอมรับว่า ทักษะด้านอีคอมเมิร์ซและการทำธุรกิจบนโลกดิจิทัลเป็นทักษะสำคัญในการเปิดโอกาสทางด้านอาชีพ โดยเฉพาะอาชีพที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมดิจิทัลซึ่งเป็นตำแหน่งที่กำลังเป็นที่ต้องการสูงในตลาดแรงงานไทยในปัจจุบัน

...
“บริษัท Sea (ประเทศไทย) ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เข้ามาร่วมกับ Equity Partnership’s School Network โดยเราได้สนับสนุนการเปิดพื้นที่ขายสินค้าบนแพลตฟอร์มของช้อปปี้ (Shopee) เพื่อเป็นตัวกลางให้เด็กได้นำผลงานที่สร้างสรรค์มาจำหน่าย ได้รับรายได้จริง โดยรายได้จากการจำหน่ายทั้งหมดจะมอบให้กับนักเรียนทุนเสมอภาคจาก 10 โรงเรียน โดยไม่หักค่าใช้จ่าย เพื่อต่อยอดการพัฒนาทักษะอาชีพในอนาคตและบรรเทาความเดือดร้อนจากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 และยังเป็นการสร้างความภาคภูมิใจให้เด็กอีกด้วย ซึ่งในอนาคตหากมีโครงการลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้นอีก เรายินดีที่จะให้ความร่วมมือ เพราะเชื่อว่าเด็กทุกคนมีศักยภาพพร้อมที่จะพัฒนา และเราก็มีความพร้อมทางด้านทรัพยากรต่างๆ ที่จะให้การสนับสนุน” คุณพุทธวรรณ กล่าว

อย่างไรก็ตาม สำหรับทีมที่ได้รับรางวัลชนะเลิศในปีนี้ คือทีม St.Palao ซึ่งเป็นทีมน้องๆ นักเรียนจากโรงเรียนบ้านป่าเลา จังหวัดลำพูน และโรงเรียนนานาชาติเซนต์แอนดรูว์ส กรุงเทพฯ โดยเป็นการพัฒนาผลิตภัณฑ์คือ เสื้อคลุมผ้าฝ้ายทอมือ

ส่วนรองชนะเลิศคือทีม SARNFUN โรงเรียนภูเวียงวิทยาคม จังหวัดขอนแก่น และโรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี โดยเป็นการพัฒนาผลิตภัณฑ์คือกระเป๋าสะพายข้าง และทีม MONGLONG จากโรงเรียนบ้านรักแผ่นดิน จังหวัดเชียงราย และโรงเรียนสาธิตประสานมิตร อินเตอร์ คว้าอันดับ 3 จากการร่วมประกวดในครั้งนี้ โดยการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากกลุ่มนี้คือปลอกหมอนอิง
