ยังเป็นเรื่องร้อนจากกรณี “กลุ่มผู้อ้างตัวทำในนามปกป้องศาสนา” เคลื่อนไหวพาสื่อมวลชนจับผิดพฤติกรรมพระสงฆ์บุกเข้าตรวจสอบ “หลวงปู่พระเกจิ อายุ 98 ปี” แล้วปรากฏเหตุการณ์ “ผู้สื่อข่าว” ยืนตะโกนถกเถียง “พระผู้ดูแลหลวงปู่” จาบจ้วงข่มขืนใจอันเป็นภาพสะเทือนต่อวงพุทธศาสนาอย่างมาก

กลายเป็นกระแสสังคมตีกลับ “บรรดาลูกศิษย์” แจ้งความดำเนินคดีในข้อหานำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ใส่ความคณะสงฆ์ให้เสื่อมเสียตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ฯ ร่วมกันทำพยานหลักฐานเท็จและซ่องโจร

หนำซ้ำ “การกระทำของคนกลุ่มนี้” ตั้งแต่เดือน เม.ย.2565 เป็นต้นมายังบุกเข้าตรวจสอบพระสงฆ์วัดอื่นอีก 8 แห่ง ทำให้ “สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ” มีการรวบรวมหลักฐานพิจารณาว่า เข้าข่ายความผิดกฎหมายใดบ้าง ไม่ว่าจะเป็น ป.อาญา พ.ร.บ.คณะสงฆ์ฯ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และการละเมิดสิทธิมนุษยชน

อันมีพฤติกรรมเข้าข่ายความผิดหลายมาตราเป็นประเด็นถูกนำมาพูดในเวทีเสวนา “ถอดบทเรียนจริยธรรมสื่อ ทำงาน จัดฉาก ไสยศาสตร์ วงการสงฆ์” จัดโดยสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยเกี่ยวกับข้อกฎหมายในการทำข่าวของสื่อมวลชนนี้

...

วุฒิชัย พุ่มสงวน อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด บอกว่า ปัจจุบันสื่อไทยกำลังเผชิญปัญหารายได้จากเม็ดเงินโฆษณาที่ลดน้อยลง “ปัจจัยจากสภาวะเศรษฐกิจ” ทั้งมีประเด็น “สื่อใหม่” ไม่ว่าจะเป็นสื่อออนไลน์ เฟซบุ๊ก ไลน์ ยูทูบ เข้ามาแบ่งเม็ดเงินที่มีอยู่น้อยนิดนี้ “แถมเจอถูกบีบทำเรตติ้ง” ทำให้มีการแข่งขันที่สูง

หากพูดในแง่ “ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพสื่อมวลชน” ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 35 บุคคลซึ่งประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนย่อมมีเสรีภาพในการเสนอข่าวสาร หรือการแสดงความคิดเห็นตามจริยธรรมแห่งวิชาชีพ สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า “ประเทศไทย” ให้ความสำคัญกับสื่ออันมีบทบาทชี้นำสังคมค่อนข้างสูง

แม้ว่า “สื่อ” มีกฎหมายรองรับการทำหน้าที่ได้อย่างเสรีภาพในการเสนอข่าวสาร แต่เวลาออกไปทำข่าวต้องระวังละเมิดกฎหมายฉบับอื่นด้วย อย่างเช่น “การบุกรุก” ที่เข้าไปในเคหสถานผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต

แล้วยิ่งเป็นการบุกรุกร่วมกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปและใช้กำลังประทุษลักษณะรุมล้อมสัมภาษณ์ในกฎหมายล้วน “เข้าข่ายความผิดฐานบุกรุก” อันเป็นคดีผิดอาญาแผ่นดิน ไม่อาจยอมความได้

ต่อมาคือ “การตรวจค้นในเคหสถาน” ที่เป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานตามหลัก “ต้องมีหมายค้น” เว้นแต่เข้าหลัก ป.วิอาญา ม.92 มีเสียงร้องให้ช่วยมาจากข้างในที่รโหฐานและความผิดซึ่งหน้า ในส่วน “ชาวบ้านและสื่อมวลชน” มิใช่เจ้าพนักงานไม่อาจทำแบบนั้นได้ แต่สามารถติดตามเข้าไปร่วมทำข่าวการตรวจค้นได้

แต่ก็ต้องดูให้แน่ใจว่า “ตรวจค้นนั้นเจ้าพนักงานมีหมายค้นจริง” มิเช่นนั้นอาจเจอข้อหาร่วมกันบุกรุกตามมาได้ จึงอย่าชะล่าใจว่าการติดตามทำข่าวกับเจ้าพนักงานแล้วจะจบลงสวยงามเสมอไป

ถัดมา ความผิดยอดนิยมในการออกทำงานข่าวที่ “สื่อมักตกเป็นจำเลยในข้อหาหมิ่นประมาท” ในการใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สามโดยทำให้เขาเสียชื่อเสียง เช่น การกล่าวหาทุจริต ฉ้อโกง ขายชาติ แล้วการใส่ความนี้ ไม่จำกัดวิธีมีตั้งแต่การใช้คำพูด ภาพวาด แสดงกิริยาอาการอย่างหนึ่งอย่างใด

ทว่า “การหมิ่นประมาทเป็นความผิดอันยอมความได้” เพราะถ้าผู้เสียหายไม่ประสงค์แจ้งความดำเนินคดี ตำรวจก็ไม่สามารถทำอะไรได้แล้วยังมี “ข้อเว้นกรณีปิดธงเพื่อความชอบธรรมป้องกันตัวเอง” อย่างเช่น เมียหลวงด่าว่า “อีเมียน้อย” แบบนี้ไม่เข้าหมิ่นประมาท แต่หากอยู่ดีๆมีคนมาด่าอีเมียน้อยแบบนี้เป็นความผิดขึ้นได้

...

ปัญหาคือ “สื่อสัมภาษณ์เมียหลวงด่าเมียน้อย” หากมีการรายงานสถานการณ์ตามความจริง “นักข่าวอาจไม่มีความผิด” เพราะเป็นการถ่ายทอดเหตุการณ์มิใช่ยืนยันสถานะ แต่ในทางตรงกันข้ามถ้า “ผู้ประกาศข่าว” มีการพูดลักษณะตอกย้ำเนื้อหาก็อาจมีความผิดหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาได้

ประการถัดมา “ดูหมิ่น” เป็นเจตนาดูถูกเหยียดหยามทำให้เขาอับอาย หรือการด่าผ่านสื่อออนไลน์ และการด่าผ่านโทรศัพท์ก็สามารถเป็นความผิดนี้ โดยเฉพาะ “ดูหมิ่นเจ้าพนักงาน” เช่น การโทรศัพท์ด่าผู้กำกับสถานีเป็นตำรวจที่แย่มาก ไม่ปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้อง ลักษณะนี้มีความผิดดูหมิ่นเจ้าพนักงานชัดเจน

ไม่เท่านั้น กรณี “ใส่ความคณะสงฆ์ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียหรือความแตกแยก” มีความผิดตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ฯ ม.44 ตรี แต่หากว่า “พระรูปนั้นเป็นคณะฝ่ายปกครอง” ก็ย่อมถือเป็นเจ้าพนักงานตาม ป.อาญา “บุคคลใดดูหมิ่นก็เข้าข่ายความผิดดูหมิ่นเจ้าพนักงาน” ในฐานะเป็นฝ่ายสงฆ์ได้ด้วยซ้ำ

...

ส่วนการกระทำดูถูกเหยียดหยามแก่ “วัตถุอันเป็นที่เคารพทางศาสนา” เช่น กรณีนักท่องเที่ยวขึ้นไปยืนบนพระพุทธรูป “แม้ไม่มีเจตนาดูหมิ่น” แต่ลักษณะแสดงให้เห็นอย่างวิญญูชน เข้าใจเป็นการดูหมิ่นเหยียดหยามก็เป็นการดูหมิ่นทางศาสนาแล้ว แต่การที่ “พระมีเพศสัมพันธ์กับสีกา” ไม่มีความผิดในกฎหมายมาตรานี้

เหตุเพราะ “พระสงฆ์มิใช่วัตถุในทางศาสนา” ดังนั้นตัวผู้หญิง (สีกา) ไม่มีความผิดมาตรานี้ อีกทั้งยังมีกฎหมายประหลาด กรณี “คณะสงฆ์มีมติให้พระสึกไม่ปฏิบัติตาม” ย่อมมีความผิด พ.ร.บ.คณะสงฆ์ฯ เช่นกัน

สิ่งที่น่าสนใจ “อิทธิพลดราม่าบนสื่อออนไลน์กระทบต่อรูปคดีได้หรือไม่นั้น...?” ประเด็นนี้นักกฎหมายมีการพูดคุยกันมาตลอดเพราะ “บางครั้งคดีไม่ใช่เรื่องใหญ่โต” แต่ถูกนำมาปั่นกระแสผ่านโลกโซเชียลฯ ในทางราชการเรียกว่า “คดีที่ประชาชนให้ความสนใจ” แต่ขอยืนยันไม่มีผลต่อการบิดข้อเท็จจริงในสำนวนได้แน่นอน

...

เพียงแต่อัยการอาจต้องทำงานรัดกุมเข้มงวดมากยิ่งขึ้น เพื่อไม่ให้มีช่องว่าง ข้อบกพร่อง และสามารถตอบคำถามคลายความสงสัยให้สังคมได้ทุกประเด็น

เรื่องสำคัญ “สื่อมักเสนอข่าวข้อมูลข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคดี” ลักษณะสัมภาษณ์สอบถามฝ่ายเดียวอันมีความแตกต่างจาก “การสืบพยานในศาล” ที่มีทนายความฝ่ายจำเลยมาซักค้าน และนำสืบประกอบประจักษ์พยานอันเป็น “บุคคล” ผู้รู้เห็นในเหตุการณ์โดยตรง ทำให้ข้อมูลไม่สามารถคาดเดาต่อเหตุการณ์นั้นได้

ด้วยกระบวนการยุติธรรมในทางอาญาเกี่ยวเนื่องกับ “การลงโทษผู้ทำผิด” ทำให้การสืบสวนหาพยานหลักฐานจำเป็นต้องมีมาตรฐานสูง เพื่อให้ปราศจากข้อสงสัยในทุกประเด็นของคดีนั้น

ประเด็น “การล่อซื้อและแสวงหาพยานหลักฐานต่างกันอย่างไร” ตาม ป.วิอาญา ม.226...พยานหลักฐานใช้พิสูจน์ในชั้นศาลต้องได้มาโดยชอบเพราะ “ศาล” จะไม่รับฟังสิ่งซึ่งได้มาโดยผิดกฎหมายนั้น เช่น จำเลยขายยาเสพติดทุกวันจึงทำการล่อซื้อ ลักษณะนี้เป็นการได้มาโดยชอบเพราะเขาเป็นผู้กระทำผิดเป็นประจำ

ถ้าเทียบกับ “การล่อลวง-ล่อซื้อ” มักเป็นลักษณะหลอกล่อให้ผู้ไม่เคยมีเจตนาทำผิดมาก่อนแล้ว “ล่อซื้อให้เขาทำผิดขึ้น” เช่นนี้ กฎหมายไทยไม่รับฟังอันเป็นการได้มาของพยานหลักฐานขัดต่อ ป.วิอาญา ม.226

อีกทั้งยังมี “พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลจะบังคับใช้ 1 มิ.ย.นี้” ตามมาตรา 4 (3) เป็นสาระข้อยกเว้นไม่บังคับใช้แก่ “บุคคลหรือนิติบุคคลที่เป็นกิจการสื่อมวลชน” ที่ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามจริยธรรมแห่งการประกอบวิชาชีพหรือเป็นประโยชน์สาธารณะ แต่ถ้าทำข่าวเปิดเผยใบหน้าคนบ้า หรือผู้ป่วยก็มีความผิดมาตรา 7

ดังนั้น ถ้า “สื่อ” ปฏิบัติงานทำข่าวเป็นไปตามกรอบข้อบังคับว่า “ด้วยจริยธรรมแห่งวิชาชีพสื่อมวลชน” ก็จะไม่ต้องมาบังคับตาม พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลฯ ที่กำลังจะบังคับใช้ในวันที่ 1 มิ.ย.นี้

ย้ำสิ่งที่น่าจับตาต่อคือ “ร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ...” ที่กำลังจะคลอดออกมาเป็น “กลไกทำหน้าที่ส่งเสริมจริยธรรมวิชาชีพและปกป้องเสรีภาพสื่อมวลชน” เพื่อให้ประชาชนได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารอันเป็นประโยชน์สูงสุดในเร็วๆนี้...