- โควิดไทยดีต่อเนื่องรับเปิดเทอม แต่ยังไม่แผ่ว หลังยอดป่วยตายยังติดอันดับต้นๆ ของโลก หมอแนะวิธีอยู่ร่วมเชื้อร้าย ย้ำถึงปรับเป็นโรคประจำถิ่น ก็ยังอันตรายอยู่ดี
- ไทยจับตาโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย ลามยุโรป-ยกระดับกังวล หมอเป็นห่วงเปิดประเทศไม่เข้มคัดกรอง หวั่นนักท่องเที่ยวนำเข้ามา เฝ้าระวังใกล้ชิด
- จับตา "โอมิครอน" 3 สายพันธุ์ย่อย แรงเท่า "เดลตา" ทำปอดอักเสบ เสี่ยงป่วยหนัก-เสียชีวิต
สถานการณ์โควิดในไทยดีวันดีคืนต่อเนื่อง ต้อนรับสัปดาห์เปิดภาคเรียนใหญ่ โรงเรียนต่างๆ ปฏิบัติตามมาตรการการป้องกันอย่างเข้มข้น ผู้ปกครองและนักเรียนต่างพร้อมใจกันให้ความร่วมมือเต็มที่ แม้ยังมีบางส่วนยังคงกังวลเรื่องการติดเชื้ออยู่บ้าง แต่ต้องยอมรับว่าการเรียนออนไซต์ดีกว่าออนไลน์ นอกจากนี้กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ยังเตรียมพร้อมแผนเผชิญเหตุหากพบผู้ติดเชื้อในโรงเรียน อีกทั้งธุรกิจในหลายภาคส่วนเริ่มกลับเข้าสู่สภาวะปกติกันเกือบเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องอย่าชะล่าใจปล่อยปละละเลยในการใช้ชีวิต ถึงแม้อนาคตจะปรับโควิดเป็นโรคประจำถิ่น แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าไม่อันตราย !!!
...
โควิดไทยขาลง แนะวิธีอยู่ร่วม ย้ำถึงเป็นโรคประจำถิ่น ก็ยังอันตราย
รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า สถานการณ์ระบาดของไทย จากข้อมูล Worldometer พบว่าเมื่อวันที่ 17 พ.ค. ที่ผ่านมา จำนวนติดเชื้อใหม่ รวม ATK สูงเป็นอันดับ 14 ของโลก และอันดับ 5 ของเอเชีย ในขณะที่จำนวนเสียชีวิตสูงเป็นอันดับ 10 ของโลก และเป็นอันดับ 1 ของเอเชียเท่ากับไต้หวัน ถึงแม้ สธ.ไทยจะปรับระบบรายงานตั้งแต่ 1 พ.ค.เป็นต้นมา จนทำให้จำนวนที่รายงานนั้นลดลงไปก็ตาม ทั้งนี้จำนวนเสียชีวิตของไทยเมื่อวานคิดเป็น 20.32% ของการเสียชีวิตทั้งหมด ที่รายงานของทวีปเอเชีย
รศ.นพ.ธีระ ระบุต่อว่า การอยู่ร่วมกับโรคโควิด-19 คือ 1. ควรอยู่อย่างรู้เท่าทัน ใช้ความรู้ที่ถูกต้องเพื่อตัดสินใจประพฤติปฏิบัติตัวอย่างเหมาะสม เพื่อให้ตนเองและครอบครัวมีสวัสดิภาพและความปลอดภัยในชีวิต 2. ประเมินความเสี่ยงในการใช้ชีวิต เลือกรับความเสี่ยงที่อยู่ในวิสัยที่ตนเองรับได้และจัดการได้ โดยไม่สร้างความเดือดร้อนแก่คนใกล้ชิด และคนอื่นในสังคม 3. ไม่หลงงมงายแสร้งว่าสงครามโรคจบแล้ว ทั้งที่ไม่จบ 4. ไม่ว่าพื้นที่ใด ที่ไม่สามารถจัดการควบคุมป้องกันโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็ย่อมส่งผลให้มีการระบาดที่รุนแรง ยาวนาน กระจายทั่วไปจนจับต้นชนปลายหาต้นเหตุได้ยาก สะท้อนถึงการที่พื้นที่ต่างๆ เป็นแดนดงโรค เป็นพื้นที่โรคชุกชุม ประจำถิ่นไปโดยปริยายแล้ว หาทางกำจัดออกไปได้ยาก 5. โรคประจำถิ่น ไม่ได้แปลว่าไม่อันตราย ไม่รุนแรง หรือกลายเป็นหวัดธรรมดา มีมากมายหลายโรคที่ประจำถิ่นทั่วโลก แต่ทำให้ป่วยหนัก เสียชีวิตได้มาก แนะนำว่าการใส่หน้ากากอย่างถูกต้องสม่ำเสมอ คือ หัวใจสำคัญในการประคับประคองให้อยู่รอด ลดความเสี่ยงในการดำรงชีวิตประจำวัน จนกว่าสถานการณ์ทั่วโลกจะดีขึ้น
จับตา "โอมิครอน" สายพันธุ์ย่อย ยุโรปยกระดับกังวล
รศ.นพ.ธีระ ระบุต่อว่า สายพันธุ์โอมิครอน BA.4 และ BA.5 ถูกยกระดับเป็นสายพันธุ์น่ากังวลของยุโรป ล่าสุด European Center for Disease Prevention and Control (ECDC) ได้ประกาศให้สายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 เป็นสายพันธุ์ที่น่ากังวล หรือ Variants of Concern (VOC) แล้วเมื่อวันที่ 13 พ.ค. 2565 โดย BA.4 เริ่มพบเดือน ม.ค. และ BA.5 พบเดือน ก.พ. จากนั้นมีการกระจายไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก แม้จะยังมีจำนวนไม่มาก แต่ข้อมูลการระบาดในประเทศแอฟริกาใต้ พบว่าอัตราการขยายตัวในแต่ละวันของ BA.4 และ BA.5 นั้นสูงกว่าสายพันธุ์ BA.2 ที่ครองการระบาดทั่วโลกขณะนี้ถึงร้อยละ 12 นอกจากนี้ ในประเทศโปรตุเกส ซึ่งพบการระบาดของสายพันธุ์ BA.5 มากขึ้นอย่างรวดเร็ว พบว่าอัตราการขยายตัวในแต่ละวันสูงกว่า BA.2 ถึงร้อยละ 13 สอดคล้องกับที่พบในแอฟริกาใต้ คาดว่าสายพันธุ์นี้จะกลายเป็นสายพันธุ์หลักในโปรตุเกสภายในวันที่ 22 พ.ค. นี้ หรือภายในระยะเวลาเพียง 2 สัปดาห์ ข้อมูลปัจจุบันยืนยันว่า สายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 แพร่ระบาดได้ไวกว่าเดิม น่าจะมาจากความสามารถในการหลบหลีกภูมิคุ้มกันได้มากขึ้น
...
เปิดประเทศ ไม่เข้มคัดกรอง เสี่ยง นทท.นำเข้าไทย ทำระบาดพุ่ง
รศ.นพ.ธีระ ระบุด้วยว่า ผลจากการศึกษาทางห้องปฏิบัติการพบว่า คนที่ไม่ได้รับวัคซีนมาก่อน แม้จะเคยติดเชื้อโอมิครอนสายพันธุ์ BA.1 ภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นหลังการติดเชื้อนั้น ไม่สามารถป้องกันสายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 ได้ ดังนั้นการฉีดวัคซีนและการป้องกันตัวอย่างสม่ำเสมอเป็นเรื่องจำเป็น ส่วนเรื่องความรุนแรงของโรคนั้น ข้อมูลปัจจุบันยังมีจำกัดแต่คาดว่าไม่น่าจะต่างจากสายพันธุ์เดิม สำหรับไทยนั้นการระบาดยังเป็นไปอย่างต่อเนื่อง เปิดประเทศมีการเดินทางระหว่างประเทศมากขึ้น และไม่ได้มีการตรวจคัดกรองโรคที่เข้มข้นแล้ว มีโอกาสสูงที่สายพันธุ์ BA.4, BA.5 หรือแม้แต่ BA.2.12.1 จะเข้ามาทำให้การระบาดในประเทศสูงขึ้นไปกว่าเดิมได้ ดังนั้นควรรู้เท่าทันสถานการณ์ การใส่หน้ากากเสมอและใส่อย่างถูกต้องเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยลดความเสี่ยง และประคับประคองให้อยู่รอดท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้
ไทยเฝ้าระวังใกล้ชิด "BA.4-BA.5"
...
ด้าน ศ.ดร.วสันต์ จันทราทิตย์ หัวหน้าศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี เปิดเผยว่า จากการติดตามสายพันธุ์โควิด-19 ของศูนย์จีโนมทางการแพทย์ฯ ซึ่งมีการประมวลผลทุกสัปดาห์ ส่วนใหญ่รับตัวอย่างเชื้อโควิดฯ จากโรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพฯ ส่วนต่างจังหวัดรับมาบางส่วน รวมสัปดาห์ละประมาณ 100 ตัวอย่าง ล่าสุดศูนย์ฯ ยังมีการติดตามโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.4-BA.5 อย่างใกล้ชิดต่อไป
สะพรึง แรงเท่า "เดลตา" ทำคนป่วยหนัก เสี่ยงปอดอักเสบดับ
ศูนย์จีโนมฯ ยังระบุอีกว่า มีแนวโน้มที่โอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.4, BA.5 และ BA.2.12.1 อาจจะมีการติดเชื้อที่มีอาการรุนแรงกว่าโอมิครอนสายพันธุ์ดั้งเดิม ซึ่งองค์การอนามัยโลก WHO และนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกกำลังเฝ้าติดตามอาการทางคลินิกจากการติดเชื้อของทั้ง 3 สายพันธุ์ย่อยจากประเทศแอฟริกาใต้และสหรัฐอเมริกาในช่วง 2-4 สัปดาห์จากนี้ โดยข้อมูลอัปเดตล่าสุดพบว่ามีจำนวนผู้ป่วยที่ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลของทั้ง 2 ประเทศเริ่มเพิ่มขึ้น แต่อัตราผู้เสียชีวิตยังคงเดิม โดยมีรายละเอียดดังนี้
การกลายพันธุ์บนสายจีโนมของไวรัสโคโรนา 2019 บริเวณยีนที่สร้างหนาม (Spike gene) ณ ตำแหน่ง "452" อาจเป็นปัจจัยสำคัญทำให้โอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.4, BA.5 และ BA.2.12.1 มีความสามารถที่จะแพร่ระบาดได้เร็วขึ้น อีกทั้งยังมีคุณสมบัติในการเชื่อมต่อผนังเซลล์ (ปอด) จากหลายเซลล์เข้ามาเป็นเซลล์เดียว ก่อให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อปอด ได้เช่นเดียวกับการติดเชื้อสายพันธุ์ "เดลตา" ที่ระบาดในอดีต
...
โควิดอยู่ในภาวะขาลง ชี้อนาคตมีฤดูกาลคล้ายไข้หวัดใหญ่
ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า สถานการณ์โควิดฯ ขณะนี้ อยู่ในภาวะขาลง และจะเข้าสู่โรคตามฤดูกาล และการระบาดต่อไปในอนาคตนั้น น่าจะมีฤดูกาลคล้ายกับไข้หวัดใหญ่ เชื่อว่าการระบาดของโควิดฯ ในอนาคตในปีต่อๆ ไป น่าจะมีรูปแบบที่คล้ายกัน การให้วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ช่วงระยะเวลาที่ให้ดีที่สุด จึงเป็นก่อนเปิดเทอมแรกให้มีภูมิต้านทานที่สูงในการป้องกันในช่วงฤดูฝน ทำนองเดียวกัน เมื่อเปิดเทอมโควิดก็จะเพิ่มสูงขึ้น และถ้าต่อไปโควิดจำเป็นต้องให้วัคซีนทุกปี ช่วงที่ให้วัคซีนดีที่สุด ควรจะเป็นช่วงก่อนที่นักเรียนจะเปิดเทอมนั่นเอง
เผยผลวิจัย กระตุ้นเข็ม 3 ด้วย mRNA หลังฉีดเชื้อตาย ได้ผลดีมาก-ต้านโอมิครอน
นอกจากนี้ ศ.นพ.ยง ยังระบุเกี่ยวกับวัคซีนว่า การฉีดกระตุ้นเข็ม 3 ด้วยวัคซีน mRNA ตามหลังวัคซีนแบบเชื้อตายได้ผลดีมาก มีรายงานการศึกษามาสนับสนุนการศึกษาของเราเป็นจำนวนมาก ดังจะเห็นรายงานล่าสุด ที่เผยแพร่ในวารสาร Nature Communication โดยนักวิจัยชาวสวีเดน ที่ทำการศึกษาร่วมในหลายประเทศ และใช้ตัวอย่างน้อยกว่าเราเป็นจำนวนมาก รวมทั้งการศึกษาอีกหลายแห่งได้ผลเช่นเดียวกัน เป็นการยืนยันซึ่งกันและกัน จากรายงานของเราที่รวบรวมและอยู่ระหว่างการพิจารณาลงพิมพ์ในวารสาร ได้ผลดีกับสายพันธุ์โอมิครอนด้วย
ผลไม่ต่างไฟเซอร์ 3 เข็ม เชื่อฉีดเด็กได้ผลเดียวกัน
นพ.ยง ระบุอีกว่า จากข้อมูลจะเห็นได้ชัดเจนว่า การให้วัคซีนเบื้องต้นเป็นเชื้อตาย เช่น ซิโนแวค และซิโนฟาร์ม และเข็มสามกระตุ้นด้วยไฟเซอร์ ที่ 5-7 เดือน หลังเข็ม 2 ได้ผลไม่แตกต่างกันกับการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ 3 เข็ม การให้วัคซีนต่างชนิดกันจะไปช่วยเสริมกัน และทำให้ระบบภูมิคุ้มกันกว้างมากขึ้น โดยเฉพาะการกระตุ้นในระบบ T เซลล์ ได้ผลแบบเดียวกัน เท่าเทียมกันกับคนที่เคยติดเชื้อมาก่อน แล้วกระตุ้นด้วยวัคซีน mRNA (ข้อมูลการศึกษาในสวีเดน) ที่ผ่านมาประเทศไทยเราเสียโอกาสนี้ไปมาก อย่างไรก็ตามการให้ในเด็กเราก็เชื่อว่าได้ผลแบบเดียวกัน
ผู้เขียน : หงเหมิน
กราฟิก : Jutaphun Sooksamphun