เดือดร้อนกันทั้งแผ่นดิน “สินค้าอุปโภคบริโภค” สิ่งของจำเป็นปรับราคาแพงขึ้นต่อเนื่อง “สวนทางรายได้ที่ทรงตัวไม่พอใช้จ่าย” กระทบคนไทยต้องเผชิญภาวะค่าครองชีพพุ่งสูงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ยิ่งกว่านั้นนับตั้งแต่ 1 พ.ค.2565 เป็นต้นมา “คนไทย” ต้องแบกรับรายจ่ายขึ้นอีกด้วย “รัฐบาล” ปรับราคาน้ำมันดีเซลเพดานไม่เกินลิตรละ 30 บาท เป็นลิตรละ 35 บาท เริ่มต้น 32 บาท/ลิตร แล้วทยอยปรับจนกว่าจะครบ

ผลกระทบราคาสินค้าแพงขึ้นนี้ ดร.นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโสจากสถาบันการวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศไทย บอกว่า สินค้าทยอยปรับขึ้นช่วงนี้มี 2 ปัจจัย คือ ปัจจัยแรกระยะสั้น... “การฟื้นฟูตัวเศรษฐกิจโลกไปเร็วกว่าประเทศไทย” เพราะโควิด-19 คลี่คลาย หลายประเทศเริ่มฟื้นฟูด้านเศรษฐกิจได้ก่อน

แล้วประชาชนมีกำลังการซื้อเยอะมากขึ้น “ส่งผลให้ราคาสินค้าปรับขยับตัว” อันเป็นลักษณะการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลกแบบไม่เท่าเทียมกัน กลายเป็นปัญหาปฏิกิริยาห่วงโซ่อุปทาน (supply chain reaction) อย่างเช่น กรณีการส่งออกสินค้าของไทย โดยมากมักไปประเทศจีน ยุโรป สหรัฐอเมริกาแล้วก็กลับ

...

แต่หาก “ยุโรป และสหรัฐฯ” มีการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้ก่อน “ผู้คน” มักอยากจับจ่ายใช้สอยนำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้น “ตู้คอนเทนเนอร์ถูกนำเข้ามากกว่าเดิม” จนตกค้างไม่อาจถูกหมุนกลับมาใช้ได้อย่างที่ควรเป็น กลับกลายเป็นว่า “คอนเทนเนอร์ไม่บาลานซ์” เป็นปัจจัยหนึ่งผลักดันให้ต้นทุนสูงขึ้นราคาสินค้าปรับตาม

ปัจจัยที่สองหนุนเสริมขึ้นมาคือ...“พลังงานเชื้อเพลิง” จากรัสเซียโจมตียูเครนเข้าสู่เดือนที่สาม ทำให้สหรัฐฯและชาติตะวันตกคว่ำบาตรจน “รัสเซีย” ขายน้ำมันยากขึ้น “ยุโรป” ต้องหาซื้อจากแหล่งอื่นมาทดแทน

ฉะนั้น “น้ำมันดิบส่วนหนึ่งหายจากตลาดโลก” ตรงจุดนี้ก็ทำให้ราคาน้ำมันปรับดีดตัวขึ้น แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่านั้น “ไม่มีใครรู้สงครามรัสเซีย–ยูเครนจะจบลงอย่างไร”นั่นก็คือยุโรปยังลดการพึ่งพาน้ำมันจากรัสเซียไปเรื่อยๆ ล้วนเป็นห่วงโซ่ส่งผลกระทบผลักให้สินค้าปรับราคา อันเป็นปัจจัยภายนอกไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ด้วยซ้ำ

หากย้อนดู “เส้นทางนำเข้าน้ำมันในไทย” ปัจจุบันการซื้อขายน้ำมันดิบในตลาดโลกอยู่ที่ 100 กว่าดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล แต่เมื่อ “นำเข้าในประเทศราคาต้องขยับขึ้นรอบสอง” ที่ผ่านมา “รัฐบาล” ไม่ปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาดโลก เพราะใช้กองทุนน้ำมันฯเข้าแทรกแซงอุดหนุนช่วยอยู่เสมอ

ความบาดเจ็บนี้มาตกที่ “กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง” จนไม่สามารถอุดหนุนไหวต่อไปได้อีก ดังนั้น เมื่อน้ำมันปรับตัวขึ้นก็สามารถสังเกตเห็นได้ชัดว่า “ราคาสินค้าปรับตาม” กระทบต่อประชาชนอย่างที่เป็นอยู่นี้

ตอนนี้เข้าใจว่า “น้ำมันดีเซลถูกพยุงให้อยู่ที่ 35 บาท/ลิตร” ที่ไม่น่าจะขยับขึ้นมากกว่านั้นอีกได้ เพราะด้วย “ปัจจัยจากราคาน้ำมันดิบตลาดโลกคงที่หยุดนิ่งแล้ว” ดังนั้น คงต้องมาดูสัดส่วนของกองทุนน้ำมันฯ

จะลดบทบาทลงระดับขนาดใดแล้ว ก็ยังหวังต่อว่า “ประเทศไทย” น่าจะมีทางออกทำให้ราคาน้ำมันปรับลดลงได้โดยเร็ว

ด้วยวิธี เช่น “ยินดีเป็นมหามิตรกับรัสเซีย” อย่างอินเดียขอซื้อน้ำมันจากรัสเซียในราคาถูกลงกว่า 35% แต่ว่าในส่วน “มาตรการปรับขึ้นราคาน้ำมันแบบขั้นบันได” เรื่องนี้มองว่า “ภาครัฐทำถูกต้องไม่ให้ราคาพุ่งขึ้นเร็วเกินไป” แล้วก็ไม่ทำให้กองทุนน้ำมันฯบาดเจ็บมาก และอีกไม่นานราคาน้ำมันน่าจะเข้าสู่ดุลยภาพดังเดิม

ถัดมาคือ “ก๊าซหุงต้ม” อันเป็นโจทย์ใหญ่สำคัญว่า “ภาครัฐ” จะอุดหนุนราคาต่อได้ระดับใด เพราะที่ผ่านมาถูกอุ้มไปค่อนข้างเยอะมาก ดังนั้นเห็นว่า “ก๊าซเริ่มขึ้นราคา” ทำให้คนไทยต้องเจอค่าครองชีพสูงอีกตามมา

...

สังเกตดัชนีชี้วัด “เงินเฟ้อสูง 5%” นั่นคือ “ต้นทุนเพิ่ม 5 บาท” เช่น คนเคยใช้เงิน 1,000 บาท/เดือน จะเพิ่มเป็น 1,050 บาท/เดือน ส่วนครัวเรือนใช้เงินเฉลี่ย 10,000-20,000 บาท/เดือน ก็เพิ่ม 500-1,000 บาท/เดือน

“ตอนนี้สถานการณ์ไม่ปกติส่งผลให้เงินเฟ้อหนักขึ้นมาก อย่างสหรัฐฯ เจอเงินเฟ้อพุ่งสูงสุดในรอบ 40 ปีด้วยซ้ำ แล้วสินค้าแพงขึ้นนี้มีโอกาสลดได้ก็ต่อเมื่อผ่านพ้นช่วงราคาน้ำมันสูงไปก่อน คาดการณ์อย่างเร็วสุดน่าจะราวต้นปี 2566 เหตุนี้เรายังต้องเผชิญความเจ็บปวดจากราคาสินค้าแพงไปจนถึงสิ้นปี 2565 แน่นอน” ดร.นณริฏว่า

ถ้าเวลาพูดว่า “สินค้าราคาแพง” จำเป็นต้องดูด้วยว่า “สินค้านั้นคืออะไร” เช่น หากเป็นประเภทรถลัมโบร์กินี หรือรถเบนท์ลีย์ มักไม่ใช่สินค้าจำเป็นต่อการดำรงชีวิตก็ไม่มีปัญหากระทบใดๆ เมื่อใดก็ตาม “สินค้าที่แพงนั้นเป็นสิ่งจำเป็นต้องกินต้องใช้” ส่วนใหญ่จะก่อให้เกิดปัญหาเดือดร้อนต่อประชาชนทันที

นั่นก็แปลว่า “ภาครัฐ” ต้องเข้ามาช่วยเหลืออะไรบางอย่างด้วย แต่การช่วยเหลือนี้ต้องเข้าใจว่า “ประชาชน” มีความสามารถรองรับปัญหาแตกต่างไม่เท่ากัน สังเกตจากในช่วงการระบาดโควิด-19 “กลุ่มคนฐานะร่ำรวย” กลับไม่ได้รับผลกระทบค่าใช้จ่ายอะไรมากมาย “คนชั้นกลาง”ยังพอมีเงินเดือนปรับวิถีชีวิตเอาตัวรอดได้

...

เช่น เคยกินข้าวนอกบ้านหลายๆครั้ง ก็หันกลับมากินข้าวในบ้านบ่อยขึ้น เพื่อลดค่าใช้จ่ายลงได้ แต่ว่าในส่วน “กลุ่มคนเปราะบาง” เป็นกลุ่มหาเช้ากินค่ำมีความเป็นอยู่ลำบากมากแทบไม่อาจปรับวิถีชีวิตได้เลยด้วยซ้ำ

ฉะนั้น เมื่อเห็นกลุ่มผู้มีปัญหาได้รับผลกระทบชัดเจนแล้ว “ต้องช่วยเหลือผู้เดือดร้อนจริงๆ” เพื่อให้สามารถอยู่รอดต่อไปได้ นี่ก็คือหัวใจสำคัญต่อ “การแก้ปัญหายุคของแพง” ที่เกิดจากปัจจัยภายนอกรอบนี้

ประเด็นมีอยู่ว่า “สินค้าแพงสวนทางรายได้ที่ลดลง” ต้องเข้าใจอย่างหนึ่งว่า “เราอยู่ในโลกของคนส่วนหนึ่งทำธุรกิจด้วย” เมื่อสถานการณ์ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นเช่นนี้ “คนทำธุรกิจจะปรับค่าแรง” ก็ยิ่งเป็นการเพิ่มต้นทุนทวีคูณ ดังนั้น “การปรับค่าแรงมักขึ้นอยู่กับตัวแรงงาน” อันมีความสำคัญอย่างไรกับภาคธุรกิจนั้น

ตอกย้ำว่า “แรงงานมีทักษะความรู้ความสามารถผลงานเด่น” มักเรียกค่าแรงจากนายจ้างตามค่าครองชีพปรับเพิ่มสูงขึ้นได้ไม่ยาก แต่ถ้าหากเป็น “กลุ่มแรงงานทั่วไป” เมื่อออกไปก็สามารถหาคนอื่นมาทดแทนได้เสมอ เช่นนี้ย่อมมีอำนาจต่อรองกับนายจ้างน้อย “ค่าแรงอาจไม่ขึ้น” ตามค่าครองชีพนั้นก็ได้

...

หนำซ้ำฐานล่างมักเป็น “คนใช้แรงงานเงินน้อย” แทบไม่มีอำนาจต่อรองเลย เพราะมีแรงงานต่างด้าวสำรองทดแทนตลอด จำต้องรับชะตากรรมเผชิญรายได้น้อย ไม่สอดรับค่าครองชีพสูงอยู่นี้

ไม่นานมานี้ “คณะกรรมการแรงงานฯ” พยายามปรับค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำขึ้น 50% จากเดิม 330 กว่าบาทเป็น 490 บาท “เรื่องนี้เป็นไปได้ยาก” ดังนั้น ฐานะนักวิชาการเสนอว่า “ควรนำอัตราเงินเฟ้อมาเป็นหลักการคำนวณปรับค่าแรงขั้นต่ำ” ตามค่าครองชีพที่เพิ่ม 5% ฉะนั้น แรงงานควรต้องได้ปรับขึ้นอย่างน้อย 5%

ปัญหามีว่า “ผู้ประกอบการธุรกิจ” อาจจ่ายตามอัตรานั้นไม่ไหว เพราะว่า “จีดีพีปีนี้เติบโต 3%” เช่นนี้เสมอว่า “ปรับค่าแรงงานขั้นต่ำ 3% แล้วอีก 2% ภาครัฐเข้ามาอุดหนุนผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐแทน” เพื่อช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางฐานล่างที่ได้รับความเดือดร้อนจริงๆ ให้สามารถประคองชีวิตผ่านพ้นช่วงวิกฤตินี้

เนื่องจากปัญหาที่เกิดขึ้นนี้มาจาก “ปัจจัยภายนอก” จึงไม่อยากให้แรงงานต้องแบกรับภาระฝ่ายเดียวโดยไม่ได้ปรับค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ แต่การปรับนี้ก็ต้องให้ภาคธุรกิจสามารถอยู่รอดไปด้วย

ทว่า “หนี้สินครอบครัว” เรื่องนี้เป็นปัญหาระยะยาว หลักป้องกันทำได้อย่างเดียวคือ “หาเงินได้เท่าใดต้องใช้จ่ายเท่านั้นอันเป็นเกราะคุ้มกันดีที่สุด” แต่ถ้าใช้เงินมากกว่าหามาได้ย่อมมีหนี้เกิดขึ้นแน่นอน แล้วเมื่อมีหนี้เช่นนี้ “ภาครัฐ” สามารถช่วยได้บางส่วน เช่น ปรับโครงสร้างหนี้ ชะลอจ่ายหนี้ หรือลดหนี้ ลดดอกเบี้ยหนี้

ข้อมูลสำรวจตัวเลข “หนี้จ่ายไม่ไหวมีอยู่ 1.5 ล้านครัวเรือน” ยังไง จุดนี้ภาครัฐต้องเข้ามาดูแลหารายได้อย่างอื่นช่วยด้วย ส่วน “กลุ่มมีหนี้พอจ่ายไหว” ก็ช่วยลดรายจ่ายสินค้าบางประเภทช่วยเหลืออีกทางหนึ่งก็ได้

สุดท้ายตั้งข้อสังเกตว่า “ภาครัฐ” มีไอเดียฟื้นฟูภาคธุรกิจน้อยมาก ส่วนใหญ่เน้นจ่ายเงินชดเชย 4-5 แสนล้านบาทในช่วง 2 ปีมานี้ แต่ไม่รู้สึกว่า “ธุรกิจกลับมาแบบยั่งยืน” ดังนั้น ส่วนตัวไม่เห็นด้วย “แจกเงินช่วยเหลืออีก” เพราะประเทศกำลังเข้าโหมดฟื้นฟู ควรหันมาพูดคุยวางแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจให้กลับคืนสู่สภาพเหมือนเดิมโดยเร็ว

ย้ำว่า “สินค้าแพง” ล้วนเป็นปัจจัยจากภายนอกเข้ามาในประเทศ “ควรเฉลี่ยทุกข์ เฉลี่ยสุขร่วมกัน” นั่นคืออุ้มน้ำมันเท่าที่ทำได้ ขึ้นค่าแรงเท่าที่ไหว ลดค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือย แล้วเศรษฐกิจไทยจะรอดได้.