กลั้นน้ำตาไม่อยู่ อดีต ผอ.โรงเรียน กลายเป็นคนหมดตัวหลังเกษียณ เหตุค้ำประกันเงินกู้ให้อดีตครูแม่ดาราดัง สุดท้ายต้องชดใช้หนี้แทน วอนดาราดังช่วยด่วน
วันที่ 9 พฤษภาคม 2565 นายวินัย สังขวรรณะ อายุ 65 ปี อดีต ผอ.โรงเรียนบ้านผาปูน ต.อมก๋อย อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ ได้เดินทางไปเยี่ยม นายสีมา พิทักษ์กมลรัตน์ วัย 68 ปี อดีต ผอ.โรงเรียนแม่หลองน้อย ในพื้นที่ อ.อมก๋อย ซึ่งป่วยเป็นอัมพฤกษ์จากเส้นเลือดฝอยในสมองแตก ทำให้ขาซีกขวาขยับไม่ได้ต้องใช้ไม้ค้ำยันช่วยเดิน อาศัยอยู่ที่บ้านท่าต้นงิ้ว หมู่ 2 ต.ปากบ่อง อ.ป่าซาง จ.ลำพูน ผู้ร่วมชะตากรรมในจำนวน 8 คนที่ถูกอดีตครูโรงเรียนแห่งหนึ่งใน ต.อมก๋อย และเป็นแม่ของดาราหนุ่มชื่อดังที่เบี้ยวเงินหนี้ธนาคารจำนวน 1.4 ล้านไป
เมื่อไปถึงที่บ้านของอดีต ผอ. นายสีมา พบว่าอาศัยอยู่ที่บ้านเพียงลำพังกับสุนัขเป็นเพื่อน 1 ตัว ส่วนลูกๆ ไปทำงานและมีครอบครัวที่อื่นกันหมด จากการสังเกตสภาพบ้านเป็นบ้านเก่าแบบโบราณ บริเวณรกไปด้วยหญ้า จากนั้นได้มีการพูดคุยกัน พร้อมกับย้อนในเรื่องราวในอดีตซึ่งมีคณะกรรมการทั้งหมดจำนวน 8 คน มี 1.อาจารย์มินทร์ กันทะ 2.ผอ.สีมา พิทักษ์กมลรัตน์ 3.ผอ.วินัย สังขวรรณะ (เลขากลุ่มฯ) 4.ผอ.สิรภพ มีณรงค์ 5.ผอ.พายัพ จอมคำ 6.ครูเพ็ญพร สังขวรรณะ (ภรรยา ผอ.วินัย) 7.ครูวิชชุดา และ 8.ผอ.สำเริง คันธวงค์
...
ทาง ผอ.วินัย เล่าถึงอดีตว่าทาง ครูวิชชุดา ได้กู้เงินสมาชิกกลุ่มย่อยกองทุนพัฒนาชีวิตครูอมก๋อย จำนวน 2 แสนบาท โดยสมาชิกต่างคนต่างค้ำประกันซึ่งกันและกัน
นอกจากนี้คณะกรรมการกลุ่มย่อยกองทุนฯ ยังได้เซ็นค้ำประกันเงินจากธนาคารให้ครูวิชชุดา ซื้อบ้านที่ ต.สลกบาตร อ.ขาณุวรลักษบุรี จ.กำแพงเพชร บ้านเดิมของครูวิชชุดา จำนวน 1.4 ล้าน ต่อมาทางกลุ่มย่อยกองทุนพัฒนาชีวิตครูอมก๋อยเริ่มไม่มั่นคง ทางครูวิชชุดาก็ไม่ใช้หนี้ 2 แสนบาทคืนให้กับกลุ่มย่อยฯ เพื่อความอยู่รอดของกลุ่มฯ ผอ.วินัย จึงนำบ้านพร้อมที่ดิน อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ ไปยื่นกู้กับธนาคารเพื่อนำเงินมาใช้หนี้กลุ่มฯแทน เพื่อความอยู่รอดของกลุ่ม
ส่วนเงินที่ ครูวิชชุดา กู้จากธนาคาร 1.4 ล้านบาทก็ไม่ยอมชดใช้ ทางธนาคารได้มีหนังสือทวงหนี้จากผู้ค้ำประกันในช่วงเวลานั้น ผอ.สำเริง คันธวงค์ ผู้ค้ำประกันคนที่ 8 อยู่ที่ อ.อมก๋อย ได้เสียชีวิตทางธนาคารได้มีหนังสือทวงหนี้ถึงภรรยา ทำให้ภรรยา ผอ.สำเริง เครียดจัดส่งผลให้เส้นเลือดในสมองแตกเสียชีวิตไป ส่วน ผอ.สีมา ตอนนั้นอายุ 51 ปี ถูกทวงหนี้เช่นกันทำให้คิดหนัก จนเส้นเลือดฝอยแตกเป็นคนพิการไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ จึงลาออกจากราชการเมื่อ 10 กว่าปีก่อนมาอยู่บ้านเพียงลำพัง ช่วงนั้นถูกธนาคารฟ้องเรื่องดังกล่าวต้องขี่รถจักรยานยนต์พ่วงสำหรับคนพิการข้ามจังหวัดเพื่อไปขึ้นศาล
ทางด้านธนาคารมีการฟ้องผู้ค้ำประกันตั้งแต่อันดับที่ 1 ลงมาว่าใครมีทรัพย์สินที่เพียงพอต่อหนี้สินของครูวิชชุดา เมื่อมาถึงอันดับที่ 3 พบว่า ผอ.วินัย มีทรัพย์สินเพียงพอจึงฟ้องยึดบ้านพร้อมที่ดิน ทาง ผอ.วินัย จึงย้ายธนาคารไปกู้เงินเพิ่ม รวมทั้งหนี้เก่าเป็นจำนวนเงิน 3 ล้านบาท เพื่อใช้หนี้เงินกู้ใช้ครูวิชชุดา
ผอ.วินัย เล่าอีกว่า ทางผู้เซ็นค้ำประกันที่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือใช้หนี้มี อาจารย์มินทร์ 80,000 บาท และ ผอ.สิรภพ 100,000 บาท นอกนั้นตกที่ ผอ.วินัย รับหนี้ไปหมด ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นข่าวโด่งดังมาแล้ว ส่วนทางด้านครูวิชชุดาบอกปฏิเสธไม่มีเงินชดใช้ให้ ทางด้านลูกชายที่เป็นดาราก็รับปากว่าจะชดใช้เงินคืนให้แม่ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาก็ไม่ได้เงินชดใช้คืน และหลบหน้าหลบตาติดต่อไม่ได้
ทาง ผอ.วินัย เล่าทั้งน้ำตาอีกว่า เดือดร้อนลำบากในแต่ละเดือนถูกหักเงินเดือนใช้หนี้แทนครูวิชชุดา เหลือเงินเพียง 2,000 บาทไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายแทบไม่มีอะไรกิน
ตั้งแต่เป็นครูมาได้เสียสละช่วยเหลือสังคมมาตลอด ทั้งหาเงินสมทบทุนสร้างโรงเรียน สร้าง รพ.อมก๋อย ส่งเสริมเด็กนักเรียนยากจนได้ร่ำเรียนหนังสือจนจบมีงานทำไปหลายคน แต่ชีวิตปั้นปลายของตนกลับมาตกระกำลำบากยามวัยชรา พูดไปตาแดงก่ำน้ำตาไหลพราก คงชดใช้หนี้ไปจนวันตาย และสุดท้ายกล่าวขอฝากไปถึงครูวิชชุดา และลูกชายดารา ถ้าทราบข่าวนี้ติดต่อมาช่วยเหลือกันบ้าง.