เว็บไซต์ข่าวทุกสำนักเผยแพร่ข่าว เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ว่ากระทรวงวัฒนธรรมได้ประกาศรายชื่อศิลปินแห่งชาติ ประจำปี 2564 ออกมา เรียบร้อยแล้ว รวมทั้งสิ้น 12 ท่านด้วยกันแต่ด้วยเนื้อที่คอลัมน์อันจำกัด ผมไม่สามารถที่จะนำรายชื่อของทุกๆท่านมาลงได้...ขออนุญาตเขียนแสดงความยินดีอย่างเฉพาะเจาะจงถึงศิลปินแห่งชาติที่ผมติดตามผลงานมาโดยตลอด และก็ได้เคยเขียนถึงท่านเอาไว้บ้างแล้ว เพียงท่านเดียวเท่านั้นในวันนี้ได้แก่ ครูสลา คุณวุฒิ ผู้ประพันธ์เพลงลูกทุ่งชื่อดังที่ได้รับการยกย่องในสาขาศิลปะการแสดงนั่นเองเพลงของครูสลาที่ถูกใจผมมากที่สุด ฟังแล้วต้องรีบเข้ากูเกิลเพื่อค้นหาทันทีว่า ใครคือผู้แต่งเพลงนี้...ก็คือเพลง “ดอกหญ้าในป่าปูน” เพลงฮิตล้านตลับของ ต่าย อรทัย เมื่อ พ.ศ.2540 กว่าๆ นั่นแหละครับช่วงนั้นผมเพิ่งวางมือจากงานพัฒนาชนบท และกลับมาเขียนหนังสือเต็มตัวกับไทยรัฐ ไม่นานนัก ยังคิดถึงงานพัฒนาชนบทที่ผมเคย ทำมาร่วมๆ 30 ปีอยู่มากโดยเฉพาะ “ชนบทอีสาน” ที่เคยได้ชื่อว่าเป็นชนบทที่ยากจนที่สุด ของประเทศ และมีการอพยพไปหางานทำในกรุงเทพฯมากที่สุดเช่นกันพวกเรานักพัฒนาชนบทตระหนักดีว่า คงยากที่จะห้ามการเดินทาง เพราะมนุษย์เราล้วนใฝ่ฝันถึงอนาคตที่ดีกว่า อย่างไรเสียก็จะต้องพยายามเดินทางไปสู่อนาคตที่เขาคิดและเชื่อว่าดีกว่าจนได้เมื่อกรุงเทพมหานครกลายเป็นความหวังของคนจนทั้งประเทศ รวมทั้งคนจนอีสานด้วย...ทำให้เขามุ่งหน้าลงมาต่อสู้ชีวิต เพื่อความอยู่รอด และเพื่ออนาคตที่เขาคิดว่าดีกว่า เราจะไปห้ามเขาได้อย่างไรจริงๆแล้วเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ทุกคนด้วยซํ้าอย่างที่ผมเขียนไว้เมื่อเร็วๆนี้ ตอนพูดถึงวันครบ 240 ปีกรุงเทพฯว่า เมื่อห้ามเขาไม่ได้ เราก็ควรหาทางช่วยเขาด้วยการติดอาวุธทางปัญญาให้เขาลงมาสู้กับความโหดร้ายของกรุงเทพฯได้อย่างปลอดภัยจึงมีการเร่งรัดด้านการศึกษาทั้งในโรงเรียนและนอกโรงเรียน การขยายและพัฒนาคุณภาพโรงเรียนมัธยมระดับอำเภอ ไปจนถึงการจัดหาที่อ่านหนังสือพิมพ์ประจำหมู่บ้านอย่างที่ผมเคยเขียนไว้โดยหวังว่าการมีความรู้ที่สูงขึ้นและการรับรู้ข่าวสารมากขึ้นจะช่วยให้พี่น้องชนบทของเรา “เดินทาง” มาสู่ฝันได้สะดวกขึ้น...ไม่โดนเอารัดเอาเปรียบอย่างมากมายเหมือนในอดีตกาลผมคิดว่าเนื้อหาของเพลง “ดอกหญ้าในป่าปูน” สะท้อนการเดินทางของชาวชนบทที่ผ่านการติดอาวุธทางปัญญามาแล้วคนหนึ่งครูสลาสมมติให้ ต่าย อรทัย เป็นสาวอีสานที่อพยพมาทำงานในเมืองหลวง หลังเรียนจบ ม.ปลาย (ตามแผนเร่งรัดการศึกษาระดับมัธยม)เสร็จแล้วเด็กสาวนักสู้คนนี้ก็เอาแรงเป็นทุนสู้งานเงินเดือนต่ำๆ แล้วเก็บหอมรอมริบไปเรียนต่อภาคค่ำ...แม้ระหว่างทำงานจะโดนเอารัดเอาเปรียบ โดนดูถูกดูหมิ่นบ้างแต่เธอก็ข่มใจไว้ไม่ถือสาโดยเปรียบตัวเองเสมือนดอกหญ้าที่ไม่ว่าไปอยู่ที่ไหนก็บานได้ทุกที่...แม้ในป่าปูนก็บานได้...ทำให้เธอเรียนจบได้รับปริญญา สวมมงกุฎดอกหญ้า ที่สมัยหนึ่งบัณฑิตมหาวิทยาลัยนิยมสวมพร้อมกับเสื้อครุย กลับไปให้ญาติที่บ้านที่ชนบทชื่นชมเป็นเนื้อเพลงที่งดงามมากและเป็นกำลังใจให้แก่ชาวชนบทที่ลงมาสู้ชีวิตในเมืองหลวงในยุคนั้นอย่างมากที่สำคัญ “ต่าย อรทัย” ก็ถ่ายทอดได้ดีมาก...สมควรแล้วที่เทป ขายดีจนกลายเป็นเพลงล้านตลับของ แกรมมี่โกลด์ ในที่สุดนอกจากเพลงนี้แล้ว หลายๆเพลงที่เกี่ยวกับภาคอีสานและแรงงานอีสานที่ครูสลาแต่งล้วนเป็นเพลงที่ให้กำลังใจ ให้ต่อสู้ ให้ทำงานหนักไม่ท้อแท้ ไม่มีสักเพลงเดียวที่จะสอนให้ก้าวร้าวหรือเป็นปฏิปักษ์ต่อสังคมเพลงทุกเพลงของครูสอนให้มองตัวเองแล้วก็เอาจุดแข็งของเราเอง เอาความอดทน มานะบากบั่นของเราออกมาสู้กับปัญหาและอุปสรรคต่างๆ...นี่คืออาวุธที่สำคัญที่สุดที่ซ่อนอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคน ที่สามารถ จะนำออกมาใช้อย่างได้ผลขอบคุณกระทรวงวัฒนธรรมนะครับที่เห็นคุณค่าของครูสลา... และขอบคุณครูสลาด้วยครับ สำหรับผลงานอันงดงามทุกชิ้นที่คุณครูบรรจงสร้างสรรค์ให้แก่สังคมไทย.“ซูม”