• โควิดฯ ไทยยังไม่นิ่ง ยอดติดเชื้อหลังสงกรานต์พุ่งตามคาด-ยอดตายสูงต่อเนื่อง "BA.2.12" ลามทั่วไทย กังวลกลายพันธุ์เป็น "BA.2.12.1" หลบภูมิ-ติดง่าย
  • ไทยรับมอบวัคซีน "โคโวแวกซ์" 2 แสนโดส สธ.เตรียมกระจายให้แต่ละจังหวัด เผยเดือน พ.ค.นี้ ฉีดเข็มกระตุ้นให้นักเรียน
  • ลุ้นยอดติดเชื้อ 1 สัปดาห์หลังสงกรานต์ พบผู้ป่วยโรคไต เสียชีวิตจากโควิดระลอกนี้เพิ่มขึ้น ห่วงทะลุแสน ติดเชื้อไม่กักตัว เฝ้าระวังกลุ่มเสี่ยง 608

สถานการณ์โควิดฯ ในไทยยังไม่นิ่ง ยอดผู้ติดเชื้อกลับมาสวิงเพิ่มขึ้นตามคาด หลังหยุดยาวช่วงสงกรานต์ ตัวเลขล่าสุดพุ่งทะลุ 2 หมื่นราย 3 วันติด ส่วนยอดผู้เสียชีวิตรายวันยังสูงต่อเนื่อง ขณะที่การกลายพันธุ์ก็ยังเป็นเรื่องที่น่า "กังวล" เมื่อศูนย์จีโนมทางการแพทย์ฯ เตือนระวังโอมิครอน "BA.2.12" ที่กำลังระบาดในไทยเพิ่มมากขึ้น และหวั่นอาจกลายพันธุ์เป็น "BA.2.12.1" เหมือนที่กำลังระบาดอย่างหนักในนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ส่วนภาพรวมการฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันนั้น ล่าสุดภูมิรวมของประเทศคาดว่าขณะนี้อยู่ที่ร้อยละ 50 ซึ่งยังไม่ถึงเป้าที่ตั้งเอาไว้ร้อยละ 80 ดังนั้นจึงต้องเร่งมือฉีดเข็มกระตุ้นให้มากโดยเฉพาะ "ผู้สูงอายุ"

 

...

จับตา "BA.2.12" อาจกลายพันธุ์!

เพจเฟซบุ๊ก Center for Medical Genomics โดยศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล โพสต์ข้อมูล ระบุว่า โอมิครอนในประเทศไทยจากข้อมูลรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมที่ถอดมาต่อเนื่อง บ่งชี้ว่าดำเนินมาสู่ช่วงขาลง แต่สมาชิกสำคัญในกลุ่มคือ BA.1 ลดระดับลงจนสูญพันธุ์ไปแล้วในไทย ส่วน BA.2 มีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ที่ต้องระวังสมาชิกอื่นอย่างมากเช่นกัน คือ BA.2.12 ที่กำลังแพร่ระบาดในไทยเพิ่มขึ้น หากเกิดการกลายพันธุ์ในส่วนโปรตีนหนามอีกเพียงตำแหน่งเดียว คือ L452Q อาจกลายพันธุ์เป็น BA.2.12.1 ที่สามารถแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็วเหมือนกับที่เกิดขึ้นที่นิวยอร์กขณะนี้

"BA.2.12.1" กำลังแผลงฤทธิ์ เผยหลบภูมิเก่ง-แพร่ระบาดเร็ว

ศ.เกียรติคุณ ดร.วสันต์ จันทราทิตย์ หัวหน้าศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวเสริมว่า โควิดสายพันธุ์ย่อยโอมิครอนในไทยขณะนี้ สายพันธุ์ BA.1 ลดระดับลงจนอาจสูญพันธุ์ไปแล้ว ขณะที่ BA.2 ก่อนหน้านี้ระบาดหนัก เริ่มพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลง แต่มีการกลายพันธุ์แตกตัวลูกออกมาเป็น BA.2.12 เป็นตัวที่แพร่ระบาดทั่วโลกขณะนี้ เพียงแต่เราไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก เนื่องจากความได้เปรียบในการเติบโต แพร่ระบาดไม่ต่างจากตัวแม่ BA.2 มากนัก แต่ที่กำลังแผลงฤทธิ์เป็นตัวลูกที่แตกย่อยออกมาอีกที คือ BA.2. 12.1 พบกลายพันธุ์บางตำแหน่งนิดเดียว แต่หลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันและแพร่ระบาดได้มากขึ้น โดยเฉพาะในนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาข้อมูลจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐอเมริกา พบการแพร่ระบาดของ BA.2.12.1 อย่างรวดเร็วในสัดส่วน 1 ใน 5 ของผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั่วประเทศ พบมากสุดในนิวยอร์ก มีการกลายพันธุ์ต่างจากไวรัสดั้งเดิมอู่ฮั่นมากกว่า 90 ตำแหน่ง มีอัตราการแพร่ระบาดถึง 96% เหนือกว่า BA.2

ไทยยังไม่พบ "BA.2.12.1" แต่ต้องเฝ้าระวังตัวแม่

ศ.เกียรติคุณ ดร.วสันต์ กล่าวต่อว่า สำหรับไทยขณะนี้ยังไม่พบ BA.2.12.1 แต่ต้องเฝ้าระวังเพราะเรามีตัวแม่ BA.2.12 ข้อมูลล่าสุดเมื่อวันที่ 19 เม.ย.ที่ผ่านมา ในฐานข้อมูลกลางโควิดโลก หรือ GISAID พบ BA.2.12 ในไทยจากการสุ่มถอดรหัสพันธุกรรมไม่น้อยกว่า 186 ตัวอย่าง คาดว่าหน้างานจริงมีมากกว่านั้น โดยธรรมชาติการกลายพันธุ์ของไวรัส เมื่อมีไวรัสตัวใหม่โผล่ขึ้นมาก ไวรัสตัวเดิมจะค่อยๆ ลดลงจนหายไปใน 2-3 เดือน ส่วนลูกผสมตระกูล X ทั่วโลกพบมีกว่า 20 ตระกูล แต่พบน้อยมากเพียงหลักสิบหลักหน่วยเท่านั้น ก่อนหน้าที่ศูนย์จีโนมฯ พบ XE จำนวน 1 คน ยังไม่ได้พบมากขึ้น ข้อมูลล่าสุดจากนักวิทยาศาสตร์ในต่างประเทศได้ทดสอบนำแอนติบอดีของผู้ติดเชื้อโอมิครอนมาทดสอบภูมิคุ้มกันพบว่า ป้องกันได้แต่เฉพาะโอมิครอน แต่สายพันธุ์อื่นๆ ในอดีตหรือในอนาคตนั้น อาจจะป้องกันได้ไม่ดีนัก ต่างกับคนที่ฉีดวัคซีน ดังนั้น การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นจึงมีความสำคัญ

ไทยเจอแน่ไม่ช้านี้! "BA.2.12.1" คาดมาพร้อมนักท่องเที่ยว

...

ด้าน ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา ผอ.กลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์และการจัดการ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) โพสต์เฟซบุ๊กระบุถึง BA.2.12.1 ว่า ที่นครนิวยอร์ก พบการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมที่ตำแหน่ง 879 (A879V) ยังไม่มีข้อมูลเช่นเดียวกันว่า การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมีผลต่อไวรัสหรือไม่อย่างไร แต่ไวรัส BA.2 เปลี่ยนแปลงไวมาก เมื่อเทียบกับสายพันธุ์ก่อนหน้านี้ การเปลี่ยนแปลงแต่ละครั้งมุ่งไปที่ความสามารถในการแพร่กระจาย ติดง่าย ติดไวขึ้น ไทยคงมี BA.2.12.1 มาพร้อมกับการเดินทางเข้าประเทศของนักท่องเที่ยวในอีกไม่ช้านี้

ลุ้นยอดติดเชื้อ 1 สัปดาห์ หลังหยุดยาวช่วง "สงกรานต์"

สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาด ที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลงต่ำกว่า 2 หมื่นคน ติดต่อกัน 3 วัน หลังช่วงวันหยุดยาวสงกรานต์นั้น นพ.จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผอ.กองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ระบุว่า อาจไม่ใช่การลดลงจริงของผู้ติดเชื้อ เนื่องจากช่วง 3-4 วันที่ผ่านมา การตรวจหาเชื้อลดลงทั้ง RT-PCR และ ATK ในสถานพยาบาลของรัฐและรายงานมาที่กรมจากเดิมเคยตรวจวันละเกือบ 1 แสนคน เนื่องจากเป็นช่วงหยุดสงกรานต์คนมาตรวจน้อยลง หากมีการตรวจมากขึ้นยอดผู้ติดเชื้อคงเพิ่มขึ้น ดังนั้น การติดเชื้อช่วงสงกรานต์คงต้องรอดูอีก 1 สัปดาห์ ที่คนกลับมาตรวจมากขึ้น

...

พบโควิดฯ ระลอกนี้ คร่า "ผู้ป่วยโรคไต" เพิ่ม-แม้ฉีดวัคซีนแล้ว

ส่วนยอดผู้เสียชีวิตในการระบาดระลอกนี้ นพ.จักรรัฐ กล่าวว่า พบผู้ป่วยโรคไตเสียชีวิตจำนวนมาก เบื้องต้นสันนิษฐานว่า เนื่องจากผู้ที่จะไปล้างไตต้องฉีดวัคซีนและตรวจ ATK ก่อนเข้ารับบริการล้างไต ทำให้รู้สึกว่าค่อนข้างยุ่งยาก อาจทำให้ไปล้างไตน้อยลง ส่งผลให้เมื่อติดโควิด-19 ก็มีอาการหนัก และแม้ว่าผู้ป่วยโรคไตจะฉีดวัคซีนแล้ว แต่อาจสร้างภูมิคุ้มกันได้น้อย ดังนั้น จึงต้องหาแอนติบอดีมาฉีดให้กับคนที่ติดเชื้อ หรือก่อนติดเชื้อ เพื่อลดอาการป่วยหนัก และพบว่าผู้ป่วยอาการหนักและเสียชีวิตระลอกนี้ เริ่มมีอาการป่วยจากโรคประจำตัวก่อน และรักษายังไม่ทันดีขึ้นก็ติดเชื้อซ้ำ เริ่มมีอาการปอดอักเสบจึงเสียชีวิต ซึ่งเราพบเหตุการณ์เช่นนี้มากขึ้นเรื่อยๆ

ห่วงทะลุแสน ติดเชื้อไม่กักตัว เฝ้าระวังกลุ่ม 608

นพ.จักรรัฐ ยังกล่าวถึงกรณีคนที่ไม่ตรวจหาเชื้อ หรือตรวจพบเชื้อแต่ไม่บอกใครและไม่กักตัวว่า พฤติกรรมดังกล่าวอาจทำให้ยอดผู้ติดเชื้อสูงขึ้น และอาจสูงเกินกว่าเส้นคาดการณ์สีแดงวันละ 1 แสนคนได้ เพราะเมื่อไม่ตรวจ เราจะไม่ทราบ หรือหากตรวจพบเชื้อแล้วไม่บอกใครและไม่กักตัว คงทำอะไรไม่ได้ แต่ขอให้คิดถึงคนอื่นด้วย โดยสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา โดยเฉพาะเมื่อเข้าใกล้ผู้สูงอายุ เด็ก และกลุ่มเปราะบางอื่นๆ

นพ.จักรรัฐ กล่าวอีกว่า รวมถึงแม้ตรวจหาเชื้อ แต่ไม่รอฟังผล ก็ออกมาร่วมกิจกรรมกับคนหมู่มาก เมื่อทราบผลว่าติดเชื้อแล้วค่อยกลับไปกักตัว เท่ากับแพร่เชื้อไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นกลุ่มที่เราต้องเฝ้าระวังคือกลุ่ม 608 นอกจากนี้เรายังพบว่าผู้สูงอายุไม่ชอบใส่หน้ากากเวลาอยู่บ้าน ดังนั้นจึงต้องช่วยกันรณรงค์ให้ผู้สูงวัยสวมหน้ากากอนามัยเวลาพบคนภายนอก หรือแม้แต่คนในบ้าน ที่ทำงานนอกบ้านในช่วง 1-2 สัปดาห์นี้

...

ภูมิคุ้มกันรวมยังไม่ถึงเป้า เร่งฉีดเข็มกระตุ้น

ส่วนกรณีการเกิดภูมิคุ้มกันเชื้อโควิดของคนในประเทศ นพ.จักรรัฐ กล่าวว่า ขณะนี้กำลังรวบรวมข้อมูล แต่ดูคร่าวๆ ไทยติดเชื้อไปแล้วร้อยละ 10 ของจำนวนประชากรไทยทั้งหมด 60-70 ล้านคน เมื่อรวมกับคนที่ฉีดวัคซีน แม้ฉีดไปแล้ว 2 เข็ม แต่เมื่อเวลาผ่านไปภูมิคุ้มกันจะตก ดังนั้นเราจึงนับจากการฉีดเข็ม 3 เป็นหลัก ซึ่งฉีดไปแล้วร้อยละ 36 เมื่อรวมกับภูมิของผู้ติดเชื้อเองที่ร้อยละ 10 ทำให้ภูมิรวมของประเทศอยู่ที่ร้อยละ 50 ถือว่าไม่มาก ระดับภูมิที่เราต้องการคือ ร้อยละ 80 ดังนั้นจึงต้องเร่งฉีดเข็มกระตุ้นให้มากขึ้น โดยเฉพาะผู้สูงอายุ

ไทยรับมอบ "COVOVAX" 2 แสนโดส

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข เป็นประธานพิธีรับมอบวัคซีนโควิด-19 COVOVAX (โคโวแวกซ์) ของบริษัท COVOVAX ที่ได้รับบริจาคจากจตุภาคีด้านความมั่นคง หรือ QUAD ประกอบด้วย ออสเตรเลีย อินเดีย ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา โดยมีเอกอัครราชทูตของอินเดีย ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และรักษาการอัครราชทูตที่ปรึกษา สถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เป็นผู้แทนส่งมอบวัคซีนดังกล่าวรวม 2 แสนโดส มูลค่า 60 ล้านรูปี ที่ส่งมาถึงไทยเมื่อวันที่ 18 เม.ย.ที่ผ่านมา กรมควบคุมโรคตรวจรับแล้ว เป็นวัคซีนชนิดโปรตีนซับยูนิต ที่แม้ไทยยังไม่เคยใช้แต่ได้ขึ้นทะเบียน อย.ไว้แล้ว โดยใช้ในผู้มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ขณะนี้มีการส่งเอกสารเพิ่มให้ขึ้นทะเบียนครอบคลุมได้ถึงอายุ 12 ปี เบื้องต้นจะนำมาใช้เป็นเข็มแรกสำหรับผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน โดยฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 3 เดือน หรืออาจให้ใช้เป็นบูสเตอร์โดสในอนาคต หลังกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ตรวจรับรองรุ่นการผลิตเสร็จ จะกระจายวัคซีนเพื่อนำไปใช้ต่อไป

เดือน พ.ค.นี้ เตรียมฉีดเข็มกระตุ้นนักเรียน ผ่านระบบสถานศึกษา

นายอนุทิน กล่าวต่อว่า ผู้ที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไปที่ยังไม่เคยได้รับเข็มแรกมาก่อนวอล์กอินฉีดได้ ส่วนอายุ 12-17 ปี จะต้องเร่งรัดฉีดเพื่อรองรับการเปิดภาคเรียน ในกลุ่มอายุ 5-11 ปี จำนวน 5.1 ล้านคน เพิ่งฉีดเข็มแรกได้เพียง 49.5% เข็มสองเพียง 4% ยังต้องเร่งให้มาฉีดทั้งเข็มแรกและเข็มสอง จะดำเนินการฉีดวัคซีนผ่านระบบสถานศึกษา ส่วนกลุ่มอายุ 12-17 ปี จำนวน 4.7 ล้านคน ฉีดเข็มแรกแล้ว 87% เข็มสอง 74.3% เข็มสามฉีดเพียง 1.6% กรณีที่ไม่ได้มารับวัคซีนเข็มที่ 2 ตามนัด ให้รับวัคซีนผ่านระบบสถานพยาบาล ส่วนการฉีดเข็มกระตุ้นจะฉีดผ่านระบบสถานศึกษา ในช่วง พ.ค.เตรียมวัคซีนไว้รองรับการฉีดกว่า 7 ล้านโดส

"โคโวแวกซ์" ฉีดคนแพ้วัคซีน-กล้ามหัวใจอักเสบ

ด้าน นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า COVOVAX เป็นวัคซีนชนิดโปรตีนซับยูนิต เป็นเทคโนโลยีการผลิตเดิมที่ใช้ในการผลิตวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี ทั่วโลกยังใช้วัคซีนชนิดนี้ไม่มาก คณะกรรมการวิชาการจึงมีความเห็นให้ใช้ตามฉลาก คือ ฉีด 2 เข็มห่างกัน 3 สัปดาห์ และแนะนำให้ฉีดในกลุ่มที่ยังไม่เคยรับวัคซีนมาก่อนหรือแพ้วัคซีนชนิดอื่น เช่น กลุ่มคนที่มีอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบหรือการแพ้ขึ้นกับดุลพินิจของแพทย์ วัคซีน 1 ขวดฉีดได้ 10 คน ขนาดโดสละ 0.5 ซีซี เก็บในอุณหภูมิ 2-8 องศาฯ มีอายุการใช้งาน ภายในเดือน ก.ย. 65 เบื้องต้นจะกระจายในสถานพยาบาล ส่วนการใช้เป็นเข็มกระตุ้นยังต้องรอการศึกษา

ผู้เขียน : หงเหมิน

กราฟิก : Jutaphun Sooksamphun