• คาดการณ์ ปัญหา "เมาขับ" จะกลับมาเป็นสาเหตุหลักของการเกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิตในช่วงสงกรานต์ 2565 
  • เปิดข้อกฎหมาย เมาแล้วขับ ฝ่าฝืนมีโทษทั้งจำทั้งปรับ รวมถึงการเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่
  • สงกรานต์ นำร่อง "เมาแล้วขับ จับขังจริง" ในพื้นที่ศาลภาค 6 รับผิดชอบ 9 จังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 


จากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ 2 ปีที่ผ่านมา หลายคนอาจจะไม่ได้กลับบ้านในช่วงเทศกาล "สงกรานต์" เนื่องจากมาตรการจำกัดการเดินทาง หรือ การระบาดของโรคโควิดในพื้นที่ 

แต่ในปี 2565 แม้จะยังอยู่ในช่วงการระบาดของโรคโควิด แต่เพราะภาครัฐ มีการผ่อนปรนในเรื่องการเดินทาง และการจัดกิจกรรม วันสงกรานต์ โดยอนุญาตให้มีการจัดกิจกรรมได้ประมาณหนึ่ง แต่ก็ยังห้ามการสาดน้ำ ประแป้ง โดยต้องขออนุญาตจากหน่วยงานพื้นที่ รวมถึงไม่ได้งดจำหน่ายเหล้า หรือปิดสถานบันเทิงต่างๆ

ซึ่งการผ่อนปรนดังกล่าว ก็มีการคาดการณ์ว่า "สงกรานต์ 2565" นี้ จะส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุในช่วงการเดินทางฉลองสงกรานต์ มากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะการเสียชีวิตจาก "เมาแล้วขับ" ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้คนเสียชีวิต

โดยประเมินจากสถิติย้อนหลัง 5 ปี พบว่า ในปี 2560 มีผู้เสียชีวิตจากสาเหตุ "เมาขับ" ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ถึงร้อยละ 32.70, ปี 2561 ร้อยละ 28, ปี 2562 ร้อยละ 25.20, ปี 2563 ร้อยละ 10.90 เนื่องจาก เป็นปีที่รัฐบาลออกมาตรการล็อกดาวน์ ห้ามเดินทางข้ามจังหวัด เคอร์ฟิว และห้ามจำหน่ายสุรา, ปี 2564 ร้อยละ 21.50 เนื่องจากรัฐบาลมีมาตรการผ่อนปรนในเรื่องของการเดินทาง แม้ว่าจะยังห้ามดื่มสุราภายในสถานบันเทิง แต่ก็ไม่มีการห้ามจำหน่ายสุรา ดังนั้น สงกรานต์ 2565 นี้ แนวโน้มที่จะพบผู้เสียชีวิตจาก "เมาขับ" ก็อาจจะมีเพิ่มขึ้นจากปีก่อน อย่างที่พอคาดการณ์ได้


...

เปิดโทษ "เมาแล้วขับ"



พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (2) ห้ามมิให้ผู้ขับขี่ขับรถ ในขณะเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่น

มาตรา 160 ตรี ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 43 (2) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5,000 บาทถึง 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปี ถึง 5 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 100,000 บาท และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่

ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 2 ปี ถึง 6 ปี และปรับตั้งแต่ 40,000 บาทถึง 120,000 บาท และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อยกว่า 2 ปี หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่

ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปี ถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 60,000 บาท ถึง 200,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่

พระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ 10) พ.ศ.2557

มาตรา 4 ให้ยกเลิกความในมาตรา 142 แห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2542 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน

มาตรา 142 เจ้าพนักงานจราจรหรือพนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจสั่งให้ผู้ขับขี่หยุดรถในเมื่อ

1. รถนั้นมีสภาพไม่ถูกต้องตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 6

2. เห็นว่าผู้ขับขี่หรือบุคคลใดในรถนั้นได้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้หรือกฎหมายอันเกี่ยวกับรถนั้น ๆ

ในกรณีที่มีพฤติการณ์อันควรเชื่อว่าผู้ขับขี่ฝ่าฝืนมาตรา 43 (1) หรือ (2) ให้เจ้าพนักงานจราจรพนักงานสอบสวน หรือพนักงานเจ้าหน้าที่สั่งให้มีการทดสอบผู้ขับขี่ดังกล่าวว่าหย่อนความสามารถในอันที่จะขับหรือเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่นหรือไม่

ในกรณีที่ผู้ขับขี่ตามวรรคสองไม่ยอมให้ทดสอบ ให้เจ้าพนักงานจราจร พนักงานสอบสวน หรือพนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจกักตัวผู้นั้นไว้ดำเนินการทดสอบได้ภายในระยะเวลาเท่าที่จำเป็นแห่งกรณีเพื่อให้การทดสอบเสร็จสิ้นไปโดยเร็ว หากผู้นั้นยอมให้ทดสอบและผลการทดสอบปรากฏว่าไม่ได้ฝ่าฝืนมาตรา 43 (1) หรือ (2) ก็ให้ปล่อยตัวไปทันที

ในกรณีที่มีพฤติการณ์อันควรเชื่อว่าผู้ขับขี่ขับรถในขณะเมาสุรา หรือของเมาอย่างอื่น หากผู้นั้นยังไม่ยอมให้ทดสอบตามวรรคสามโดยไม่มีเหตุอันสมควร ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้นั้นฝ่าฝืนมาตรา 43 (2) การทดสอบตามมาตรานี้ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง

...

นำร่องกักขัง ไม่รอการลงโทษ


นางสาวมยุรี จามิกรานนท์ อธิบดีผู้พิพากษาภาค 6 มอบนโยบาย การกำหนดโทษคดีเมาแล้วขับ โดยการกักขัง ไม่รอการลงโทษ ระหว่างวันที่ 11-18 เมษายน 2565 ให้ศาลในเขตอำนาจของสำนักงานอธิบดีผู้พิพากษา ภาค 6 ซึ่งมีเขตอำนาจ 9 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดอุตรดิตถ์ พิษณุโลก อุทัยธานี กำแพงเพชร สุโขทัย พิจิตร ตาก เพชรบูรณ์ และนครสวรรค์

โดยมีนโยบายให้ดำเนินการดังนี้

1. ให้ผลสรุปเป็นการลงโทษกักขัง โดยไม่รอการลงโทษ สำหรับจำนวนวันที่กักขังขึ้นอยู่กับจำนวนปริมาณแอลกอฮอล์ที่มีอยู่ในร่างกาย

2. ประสานกับจังหวัดและสำนักงานตำรวจภูธร ภาค 6 ตั้งจุดตรวจวัดแอลกอฮอล์ และตั้งป้ายเตือน “เมาแล้วขับ จับขังจริง”

3. ดำเนินการประสานกรมราชทัณฑ์ เตรียมความพร้อมสำหรับจัดสถานที่กักขัง

4. จัดทำแบบประเมินความพร้อมโดยสำรวจทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำผลมาศึกษาในการดำเนินการอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน

ทั้งนี้ การกักขัง จะเป็นวิธีการที่จะทำให้บุคคลเมาแล้วขับ ได้ตระหนักรู้ว่าหาก "เมาแล้วยังขับ" ก็จะต้องถูกบังคับให้อยู่หรือเอาไปเก็บไว้ในสถานที่อันจำกัด น่าจะเป็นวิธีหนึ่งที่ได้ผลจริงจังทำให้บุคคลนั้น หมดสนุก ในช่วงระยะเวลาที่ถูกกักขัง

สาเหตุที่ใช้คำว่าทำให้บุคคลนั้นหมดสนุกก็เพราะว่าการดื่มสุรานั้น ผู้ดื่ม มิได้ดื่มเพื่อสุขภาพพลานามัยของตนเอง แต่เป็นการดื่มของมึนเมาอย่างมากเพื่อความสนุกจนขาดความยั้งคิดแล้วไปขับรถทั้งๆ ที่ทราบอยู่แล้วว่าการขับรถขณะมึนเมา เกิดอันตรายกับบุคคลที่ใช้ถนนหนทางร่วมกัน บุคคลเหล่านี้ควรถูกกันออกจากท้องถนนในระยะเวลาหนึ่ง เพื่อไม่ให้เขา มีโอกาสไปกระทำความผิดที่ร้ายแรงขึ้นกับบุคคลอื่น ในช่วงเวลาที่ถูกกักขัง เมื่อเขาอยู่ในที่อันจำกัดดังกล่าว จะทำให้เขามีเวลาคิดทบทวนการกระทำ ว่า สิ่งที่เขาทำไปนั้นไม่ถูกต้อง และควรแก้ไขตนอย่างไร ศาลต้องการคุ้มครองประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนมาตรการที่ดีควรให้ประชาชนรับรู้จะได้รับความร่วมมือจากประชาชน.

...

ผู้เขียน : เจ๊ดา วิภาวดี
กราฟิก :