Thailand Policy Lab เปิดเวที PIX2 ให้ผู้เชี่ยวชาญจากนานาประเทศ ร่วมแชร์ประสบการณ์ เพื่อพลิกโฉมประเทศไทย ขณะสภาพัฒน์ฯ ชี้ไทยต้องเปลี่ยนนโยบายแบบก้าวกระโดด หลังหลายประเทศพัฒนาล้ำหน้าไทยไปกว่า 10 ปี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ห้องปฏิบัติการนโยบาย หรือ Thailand Policy Lab ภายใต้โครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทย โดยสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ หรือ UNDP จัดงานเสวนา "Policy Innovation Exchange ครั้งที่ 2 (PIX2)" ขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน ผู้เชี่ยวชาญ และนักวิชาการ ร่วมออกแบบนโยบายพลิกโฉมประเทศไทย
นายวิโรจน์ นรารักษ์ รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวว่า การจัดเสวนา PIX2 นี้ มุ่งหวังว่า ประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศ จะช่วยต่อยอดแนวคิด ในการพลิกโฉมประเทศไปสู่ทิศทางที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การพลิกโฉมสู่รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ โดยผู้เชี่ยวชาญจาก เอสโตเนีย, การพลิกโฉมกรุงโซลสู่โลกดิจิทัลและอนาคต โดยผู้เชี่ยวชาญจากเกาหลีใต้ และอีกหลายๆ ประเทศ รวมถึง ภารกิจพลิกโฉมประเทศสู่อนาคต โดยผู้เชี่ยวชาญจากประเทศไทย โดยบทเรียนจากการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของไทยและต่างประเทศในงานนี้ จะเป็นการนำแนวปฏิบัติมาประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องกับบริบทของประเทศ โดยมี Thailand Policy Lab เป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ
นางคานนี วิกนาราจา ผู้อำนวยการภูมิภาคโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ผู้ช่วยเลขาธิการองค์การแห่งสหประชาชาติ และผู้อำนวยการประจำศูนย์ภูมิภาคแห่งเอเชียและแปซิฟิก กล่าวว่า นวัตกรรมเชิงนโยบายเป็นการลงทุนที่มีความหมายมาก เพราะเป็นการเปลี่ยนวิธีคิด วิธีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน การเคารพ และรับฟังซึ่งกันและกัน เป็นการทดลองออกแบบนโยบายที่ไม่ใช่เพียงอยู่ในเมืองหลวง แต่สามารถทำได้ทั่วประเทศ โดยเป็นการออกแบบร่วมกัน ที่ไม่ใช่จากบนลงล่าง และไม่ใช่การทำงานเพียงครั้งเดียว แต่จะเป็นพื้นที่เรียนรู้ร่วมกัน โดยแต่ละประเทศที่ได้มาร่วมกันแลกเปลี่ยนนี้จะได้กลับมาทบทวนว่า ควรปรับปรุงนโยบายอย่างไร ท่ามกลางวิกฤติที่ต้องเผชิญในปัจจุบัน
...
ดร.คริสติน่า เรอินซาลู ผู้อำนวยการโครงการ e-Democracy จากสถาบัน e-Governance ประเทศเอสโตเนีย กล่าวว่า ชาวเอสโตเนียมีประสบการณ์การใช้ Application โทรศัพท์มือถือค่อนข้างมาก เพราะเทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ชาวเอสโตเนียมีส่วนร่วมในกำหนดนโยบาย และนับเป็นชาติแรกๆ ที่สำรวจแล้วว่า มีการใช้ระบบออนไลน์ที่เข้าถึงบริการภาครัฐได้มากถึงร้อยละ 99 E-Citizen ทำให้ชีวิตคนง่ายขึ้น ความท้าทายนี้มีส่วนให้พลเมืองเข้ามามีส่วนร่วมในระบบดิจิทัล ในการรับฟังข้อมูล ปรึกษาหารือ หรือออกแบบ เปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย
ขณะที่ ทีโอ ลินยู หัวหน้าหน่วยออกแบบห้องปฏิบัติการนวัตกรรม ประเทศสิงคโปร์กล่าวว่า สิงคโปร์ต้องเผชิญกับวิกฤติมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ จึงมีการออกแบบนโยบายนวัตกรรมในการให้บริการสาธารณะ อย่างเช่น การให้บริการด้านสาธารณสุขแบบดิจิทัล ที่ช่วยให้ผู้สูงอายุเข้าถึงบริการสุขภาพได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น วิสัยทัศน์ของเราคือการให้บริการสาธารณะแบบรวมศูนย์ ซึ่งได้รับความเชื่อมั่น ที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง
ขณะที่ นายสุริยนต์ ธัญกิจจานุกิจ ที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เปิดเผยว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยถูกซ้ำเติมจากหลายปัญหา ทำให้ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันพยุงทิศทางประเทศไทยให้ดีขึ้น ถึงเวลาแล้วที่ ภาคราชการ เอกชน และทุกภาคส่วน ต้องพัฒนาแบบก้าวกระโดดที่จะแข่งขันได้ในเวทีโลก
ซึ่งจากมุมมองทั้ง 4 ประเทศ แสดงให้เห็นว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการนโยบายสาธารณะแบบก้าวกระโดด หลังหลายประเทศที่พัฒนาแล้ว นำหน้าประเทศไทยไปกว่า 10 ปี
อย่างไรก็ตาม ในอีก 5 ปี ข้างหน้า จะเป็นช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13 ซึ่งมีเป้าหมายให้ประเทศไทยเปลี่ยนไปสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว คือปรับโครงสร้างการผลิตสู่เศรษฐกิจฐานนวัตกรรม การสร้างโอกาสลดความเหลื่อมล้ำ ทางสังคม และพัฒนาสมรรถนะ การสร้างความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม การมุ่งสู่สังคมแห่งโอกาสและความเป็นธรรม ด้วยการส่งเสริมการดำเนินงาน ตามหลักเศษฐกิจหมุนเวียนและสังคมคาร์บอนต่ำ การฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้อย่างชาญฉลาด เพิ่มศักยภาพ ของชุมชนในการรับมือภัยธรรมชาติ
ดังนั้น การปฏิรูปนโยบายสาธารณะของประเทศผ่าน Thailand Policy lab เป็นเรื่องที่เราจะต้องขับเคลื่อน เพื่อสร้างนวัตกรรมเชิงนโยบายให้กับประเทศ ด้วยการอบรมผ่านผู้ออกแบบนโยบายโดยตรง ให้เข้าถึงนักวิชาการ นักบริหาร ผ่านการเรียนรู้ในมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ และขยายองค์ความรู้ไปให้เร็วที่สุด.