มีการยืนยันมั่นคงจากนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีสาธารณสุข ยืนกรานว่าไม่มีปัญหาผู้ป่วยโควิดล้นโรงพยาบาล มีเตียงอย่างเพียงพอ แต่มีกรณีสองแม่ลูก เป็นหญิงท้องแก่ 8 เดือน กับบุตรชายวัย 8 ขวบอีกคน ติดเชื้อโควิดทั้งคู่ ต้องเดินหาโรงพยาบาล ทั้งที่สายไหมและปทุมธานี
เรื่องนี้หนังสือพิมพ์ “ไทยรัฐ” ได้ข่าวจากคำบอกเล่าของนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจ “สายไหมต้องรอด” สองแม่ลูกถูก รพ.ปฏิเสธ รพ.ที่เคยมีสิทธิรักษา อ้างว่าสิทธิถูกเปลี่ยนไปที่ รพ.แห่งหนึ่งในจังหวัดปทุมธานี แต่ รพ.ดูเอกสารแล้วบอกว่าต้องไป รพ.ในย่าน สายไหม ใน กทม.
รพ.ที่ปทุมธานียืนยันว่ารับรักษา เฉพาะคนในพื้นที่คลองหลวง หญิงท้องแก่จนปัญญาจึงพาลูกไปนั่งพักที่หน้า รพ.ตั้งแต่ 2 ถึง 5 ทุ่ม จนกระทั่งลูกชายมีอาการไข้หนักถึงเพ้อ ผู้เป็นแม่จึงตัดสินใจขอความช่วยเหลือจากเพจ “สายไหมต้องรอด” นำสองแม่ลูกไปรักษาที่ รพ.ภูมิพล จนอาการปลอดภัยทั้งสองคน
เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาคนไข้ล้น รพ. แต่เป็นเรื่อง รพ.ปฏิเสธคนป่วย ส่วน ปัญหาศูนย์พักคอยล้น มีคำชี้แจงจากอธิบดีกรมการแพทย์ นพ.ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ ว่าเรื่องที่เป็นข่าวเป็นเฉพาะส่วน ที่ภาคประชาสังคมดำเนินการมีเพียงแค่ 120 เตียง แต่รับคนป่วยถึง 200 คน ส่วนศูนย์ของ กทม.มี 31 แห่ง มีเตียงว่างอยู่ 1,337 เตียง
การดูแลผู้ป่วยโควิดยังมีอีกมาก แม้นายกรัฐมนตรีจะประกาศแนวทางดูแลผู้ป่วยแบบที่เรียกว่า “เจอ แจก จบ” แต่เรื่องยังไม่จบ กระทรวงสาธารณสุขจะเปลี่ยนวิธีรายงานผู้ป่วยใหม่ จะรายงานเฉพาะผู้ป่วยอาการหนัก เพราะขณะนี้ผู้ป่วยส่วนใหญ่ติดโอมิครอน อาการไม่หนัก ไม่ต้องรายงาน
ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ แห่งคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แถลงว่า สถานการณ์โควิดขณะนี้อยู่ใน ช่วงขาขึ้น จะเริ่มลดลงในกลางเดือนมีนาคม หลังจากปิดภาคเรียน ขณะนี้มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นนักเรียนและวัยรุ่น มีการแพร่ระบาดเป็นกลุ่มก้อน จากนักเรียนสู่คนในครอบครัว โควิดจึงอยู่ในขาขึ้น
...
ส่วนนโยบายใหม่ของกระทรวงสาธารณสุขที่จะงดรายงานเฉพาะผู้ป่วยหนักกับผู้เสียชีวิต อาจเป็นการปกปิดข้อมูลข่าวสาร ที่ประชาชนมีสิทธิที่จะรู้ และก่อความเสียหายมากกว่าผลดี เพราะเป็นการปิดหูปิดตาประชาชน ทำให้มีกลุ่มผู้เผยแพร่ต่างๆเกิดขึ้น เมื่อทางการไม่ยอมแถลง มีทั้งข่าวจริงและข่าวปลอม ก่อความสับสน.