"ชุมชนช่างตีหม้อ" อาชีพที่มีมายาวนานกว่า 200 ปี เข้าขั้นวิกฤติ สมาชิกในชุมชนไม่มีความต้องการสืบทอดภูมิปัญญาเครื่องปั้นดินเผาแล้ว อีกไม่นานอาจสูญหายไป
วันที่ 14 ก.พ. 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชาวบ้านหม้อ หมู่ที่ 11 ต.เขวา อ.เมืองมหาสารคาม อพยพมา 7 ครอบครัวจากจังหวัดนครราชสีมา แล้วมาตั้งถิ่นฐานริมหนองเลิงเบ็ญ ก็มาพบว่าดินที่หนองเลิงเบ็ญเหมาะสำหรับทำหม้อดินเผามาก เพราะเหนียวและมีความยืดหยุ่นดี โดยได้นำภูมิปัญญาพื้นบ้านด้านเครื่องปั้นดินเผาดั้งเดิมจากนครราชสีมา มาประยุกต์ใช้จนเกิดเป็นอาชีพช่างตีหม้อเป็นเวลาเกือบ 200 ปี
ขณะที่วิถีชีวิตชุมชนบ้านหม้อ มีการเปลี่ยนแปลงจากสังคมชนบทเป็นกึ่งเมือง และคาดว่าจะกลายเป็นสังคมเมืองอย่างสมบูรณ์ในอีก 5–10 ปี ข้างหน้า เพราะเป็นพื้นที่ติดกับเขตเทศบาลเมือง และอยู่ในแนวเขตการก่อสร้างถนนเลี่ยงเมืองของกรมทางหลวง ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ส่งผลกระทบเชิงลบกับอาชีพช่างตีหม้อเรียกได้ว่าถึงขั้นวิกฤติและอาจจะสูญหายไป
สำหรับปัจจุบัน มีผู้ประกอบอาชีพช่างตีหม้อเหลือแค่ 15 หลังคาเรือน จาก 825 หลังคาเรือนประมาณ 1.8% ซึ่งแต่ละครอบครัวมีกำลังการผลิตเผา 2 เตาต่อเดือน กำไรจากการขาย 7,000-8,000 บาทต่อเดือน ผลิตภัณฑ์รูปแบบดั้งเดิม ได้แก่ หม้อหุง, หม้อแกง, หม้อนึ่ง และรูปแบบประยุกต์ ได้แก่ หม้อแอ่งน้ำ, หม้อแกง, หม้อหุง และทำตามลูกค้าสั่ง
...
ทั้งนี้ คาดว่าจะเป็นช่างรุ่นสุดท้ายและลูกหลานของแต่ละครอบครัว รวมทั้งสมาชิกในชุมชนไม่มีความต้องการสืบทอดภูมิปัญญาเครื่องปั้นดินเผาแล้ว สาเหตุมาจากกระบวนการผลิตเป็นงานช่างฝีมือระดับสูงที่มีความละเอียด ยุ่งยากหลายขั้นตอน ทำให้ปัญหาด้านกำไรจากการขายไม่คุ้มค่ากับการลงแรง การขาดแคลนวัตถุดิบต้องนำเข้าจากพื้นที่อื่น และต้องการวัสดุทดแทนวัตถุดิบที่ขาดแคลน เช่น แกลบ, ดิน และฟืน
ดังนั้น สถานการณ์เช่นนี้จึงอาจจะเรียกได้ว่าเป็น "ลมหายใจสุดท้ายของช่างตีหม้อ" รศ.ว่าที่พันตรี ดร.กิตติกรณ์ บำรุง คณบดีคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม ได้มองเห็นว่าชุมชนตีหม้อนี้ ต้องอยู่ต่อไปจึงได้ทำโครงการต่อลมหายใจให้ชุมชนคนตีหม้อ ต้องการให้ภูมิปัญญาการตีหม้ออยู่คู่กับชุมชนตลอดไป นับว่าเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการต่อลมหายใจสุดท้ายให้ชุมชนคนตีหม้อจังหวัดมหาสารคาม เกิดมูลค่าสร้างรายได้แก่เศรษฐกิจฐานรากของชุมชน และในมิติคุณค่ากลายเป็นสมบัติของมวลมนุษยชาติในฐานะของมรดกทางวัฒนธรรมของโลกได้ จะสำเร็จได้ต้องอาศัยพลังการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่องในระยะเวลา 5-10 ปี ข้างหน้า หรือมากกว่านี้ก็เป็นได้.