บ้านปลัดร้อยล้าน! แกะรอยเส้นทางเงิน

เป็นอีกปีที่ต้องบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์พี่น้องคนไทยต้องทนทุกข์กับสถานการณ์น้ำท่วม ท่ามกลางความบอบช้ำแสนสาหัสของผู้ประสบภัยนับไม่ถ้วน ไม่เว้นพื้นที่กรุงเทพมหานคร

แต่ถ้านับคดีอาชญากรรมที่เกิดขึ้นในช่วงปี 2554 หนีไม่พ้นคดีปล้นบ้าน นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม ช่วงค่ำวันที่ 13 พ.ย. ขณะนายสุพจน์ ต้องเดินทางไปร่วมงานแต่งงานลูกสาวพอดิบพอดี

จากการตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุพบทรัพย์สินมีค่าหายไปหลายรายการ อาทิ เงินสด เครื่องเพชร และทองรูปพรรณ นายสุพจน์ ให้ปากคำว่าเป็นเงินสินสอดทองหมั้นและเงินช่วยงานแต่งงานลูกสาวไม่เกิน 5 ล้านบาท


คดีดังกล่าว พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร. ให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นคดีอุกฉกรรจ์ที่เกิดขึ้นในบ้านข้าราชการชั้นผู้ใหญ่

เป็นคดีปล้นทรัพย์สินบ้านผู้ใหญ่ ในช่วงเหตุอุทกภัยน้ำท่วม...

สวนนโยบาย ผบ.ตร.ให้ตำรวจเพิ่มกำลังดูแลคดีอาชญากรรมไม่ให้ซ้ำเติมผู้ประสบภัย

มีคำสั่งให้ พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.จรัมพร สุระมณี ผู้ช่วย ผบ.ตร. ที่รับผิดชอบ สพฐ.ตร. พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผบช.น. และ พล.ต.ต.รณศิลป์ ภู่สาระ ผบก.ศสส.บช.น. เข้าร่วมทีมสืบสวนจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีโดยเร็วที่สุด

จากการสืบสวนที่ได้เบาะแสจากกลุ่มคนที่เคยได้รับการติดต่อจ้างเข้าปล้นบ้านนายสุพจน์ ซึ่งพยานให้การว่า มี “คนสนิท” ชี้ช่องทรัพย์สินจำนวนมากที่เก็บไว้ในบ้านโดยเฉพาะเงินสดๆหลายกระเป๋า
กลุ่มคนร้ายอ้างว่าเป็นเงินที่อาจได้มาโดยมิชอบ เจ้าทุกข์ไม่กล้าแจ้งความแน่!!!

จึงมีการติดต่อทีมงานคนร้ายให้ลงมือไม่ต่ำกว่า 5 ครั้ง

จนเป็นเบาะแสสำคัญในการคลี่คลายคดีที่สุดชุดสืบสวนรวบตัว นายสิงห์ทอง หรือไก่ ใจชมชื่น อายุ 44 ปี และ นายเสาร์แก้ว นามวงศ์ อายุ 59 ปี ได้ในเวลาอันรวดเร็ว ผู้ต้องหาทั้ง 2 คน ให้การซัดทอดเพื่อนร่วมแก๊งปล้นอีก 4 คน นายวีระศักดิ์ หรือโก้ เชื่อลี อายุ 36 ปี หัวหน้าแก๊งเจ้าของรถกระบะที่ใช้เป็นพาหนะอุปกรณ์ และวางแผนลงมือปล้น นายคำนวณ เมฆน้อย อายุ 38 ปี นายสมบูรณ์ ริยะเทน อายุ 40 ปี และ นายพงษ์ศักดิ์ นามวงศ์ อายุ 35 ปี

...


ขยายผลจับกุมผู้ร่วมวางแผน คือ นายวณัฐกฤต บุตรกันหา อายุ 40 ปี นายประพันธ์ เรียงเครือ อายุ 42 ปี นายวุฒิชัย พันธวารี และ นายบุญสืบ โจมกัน อายุ 44 ปี

กลุ่มเข้าปล้นที่ยังหลบหนี คือ นายคำนวน หรือนวน  เมฆน้อย และ นายพงษ์ศักดิ์ หรือเจี๊ยบ นามวงศ์

มีการโยงคำให้การของนายบุญสืบ ซัดทอด นายชยธัช หรือเอก จันนะชัย อายุ 33 ปีลูกชาย นางชุติมา จันทร์ผ่อง อดีตเลขานุการหน้าห้องทำงาน นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ที่ถูกบีบให้ออกจากราชการก่อนเกษียณ

ซึ่งข้อมูลทางลึก นางชุติมาเป็นคนที่รู้ข้อมูลของนายสุพจน์เป็นอย่างดี เคยเข้านอก-ออกในบ้าน รู้สถานที่ จึงเป็นพยานสำคัญของคดี


โดยมี นายวีระศักดิ์ หรือ โก้ เชื่อลี ผู้ต้องหาคนสำคัญที่เป็นหัวหน้าทีม ขณะนี้หลบหนีกบดานอยู่ในพื้นที่แขวงคำม่วน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว

ผู้ต้องหาให้การสอดคล้องใกล้เคียงกันว่า ได้ปล้นทรัพย์สินและเงินสดติดมือไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท และยังเชื่อว่ามีเงินสดอีกจำนวนหลายล้านในห้องนอนของนายสุพจน์

รวมทั้งผู้ต้องหาหลายคนให้การตรงกันว่า นายวีระศักดิ์ หรือโก้ หัวหน้าแก๊งอ้างว่าปล้นบ้านเศรษฐีที่โกงเงินชาติ และเจ้าของบ้านไม่กล้าแจ้งความ

แต่ทางการสืบสวนได้ยึดเงินสดบางส่วนจากผู้ต้องหา 18.1 ล้านบาท และน่าเชื่อมีเงินอีกไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท ที่นายวีระศักดิ์หอบหลบหนีไปได้

จากคดีปล้นทรัพย์สินกลายเป็นเงื่อนงำน่าสงสัย ไม่ใช่แก๊งปล้นกระจอกเสียแล้ว

ยังไม่รวมปริศนาที่มาของทรัพย์สินของนายสุพจน์ ที่สำนักงาน ป.ป.ช.เร่งตรวจสอบ


ตามหลักแล้ว ไม่มีคดีไหนผู้เสียหายแจ้งจำนวนทรัพย์สินน้อยกว่าที่ถูกคนร้ายก่อเหตุ และไม่มีผู้ต้องหารายใดที่เปิดปากยอมรับว่า ปล้นทรัพย์สินมากมายขนาดนั้น

ไม่น่าเชื่อว่า นายสุพจน์ จะไม่ทราบจำนวนทรัพย์สินที่เก็บไว้ในบ้าน

ยิ่งมีคำให้การเรื่องทรัพย์สินที่ต่างจากผลการตรวจยึดของกลางและคำให้การคนร้าย

ซึ่งสอดคล้องกับช่วงเกิดเหตุที่นายสุพจน์หาทางเลี่ยงไม่แจ้งความดำเนินคดี และพยายามต่อรองให้ลงบัญชีทรัพย์สินที่หายไปจำนวนไม่มาก แต่ตำรวจไม่กล้ารับแจ้ง เนื่องจากสภาพที่เกิดเหตุ พฤติกรรมคนร้ายต่างจากข้อมูลที่ได้จากนายสุพจน์ อย่างสิ้นเชิง หากจับกุมผู้ต้องหาเปิดปาก ตำรวจย่อมตก เป็น “จำเลยสังคม”

เลยทำให้ทุกอย่างต้องปล่อยให้เป็นไปตามข้อเท็จจริง...

เพราะสิ่งที่สังคมจับตาคือ ที่มาของทรัพย์สินรายได้ของเจ้าหน้าที่รัฐ

เพราะข่าวที่กระจายออกไปทุกคนมองเห็นแล้วว่า อะไรเป็นอะไร

...


มีอะไรที่ซ่อนเร้นอยู่ในคดีปล้นบ้านปลัดคมนาคม...

โดยเฉพาะคำพูดของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ฟันธงเหตุมาจากปมขัดแย้ง

ผลประโยชน์ที่มีนักการเมืองระดับชาติเข้ามาเกี่ยวข้องกับการประมูลโครงการในกระทรวงคมนาคม ที่นายสุพจน์ รับผิดชอบจนเป็นเหตุให้ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รมว.มหาดไทย และรองนายกรัฐมนตรี สั่งย้ายด่วน นายสุพจน์ไปช่วยราชการสำนักนายกรัฐมนตรี

ที่สำคัญคณะกรรมการป้องกันและปราบ ปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือสำนักงาน ป.ป.ช. ประสานตรวจสอบบัญชีทรัพย์สิน ที่อาจเข้าข่ายร่ำรวยผิดปกติ

ส่วนตำรวจต้องเร่งไล่ล่านายวีระศักดิ์ หรือโก้ ผู้ต้องหากุญแจดอกสำคัญมาคลี่ปมทรัพย์สิน เพราะคำให้การของผู้ต้องหายันตรงกันว่า ทรัพย์สินไม่ต่ำกว่า 100 ล้าน นายวีระศักดิ์ เก็บไว้เอง

ส่วนบัญชีทรัพย์ของข้าราชการรายนี้ต้องปล่อย ให้เป็นหน้าที่ของสำนักงาน ป.ป.ช.

สังคมต้องไม่หลงประเด็นว่าคดีนี้เป็นเรื่องของผู้ร้ายในคราบนักบุญปล้นเงินคนรวยเพื่อกระชากหน้ากากประจานสังคม แต่มันเป็นแค่เรื่องคนชั่วกับคนชั่ว ที่มีความโลภอยากได้เงินบาป

........แค่นั้นเอง...............

คดีนี้นับเป็นคดีมโหฬารระดับชาติที่ต้องบันทึกไว้ให้เป็นอุทธาหรณ์สอนข้าราชการผู้มีอำนาจทั้งหลายและกลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุ

พระเอกคงมอบให้ทีมงานของตำรวจรับไปเต็มๆ โดยเฉพาะ พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผบช.น. และ พล.ต.ต.รณศิลป์ ภู่สาระ ผบก.สืบสวนนครบาล ที่ทำงานรวดเร็วทันใจ

สำคัญที่ทีมงานไม่ใช่ตำรวจเสือหิว เห็นเงินแล้วตาลุก

เงินสดๆ 18.1 ล้านบาทที่ตามยึดมาได้จากกลุ่มผู้ต้องหากลายเป็นกุญแจดอกโต ไขปริศนาเงินสดๆในบ้านของปลัดคมนาคม

เงินมากมายมหาศาลมันมาจากไหน

เหตุใดจึงเอาไว้ในบ้านเช่นนั้น

พระเอกคู่ก็คงเป็นทีมงานของ ป.ป.ช.คนไขปริศนาที่มาที่ไปของเงิน หลักสูตรนักสืบสวนบอกไว้แล้วว่า อาชญากรรมทุกประเภทย่อมทิ้งร่องรอยให้สืบสวน

จึงยืนยันจาก นายกล้าณรงค์ จันทิก กรรมการ ป.ป.ช.ชัดเจนว่า การสืบสวนจากสายรัดธนบัตรธนาคารที่มัดแบงก์พันเป็นปึกๆได้เปิดเผยถึงที่มาของเงินแล้วว่ามาจากธนาคาร 5 แห่ง

มีการเชื่อมโยงถึงบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการประกวดราคาในกระทรวงคมนาคม

ไคลแมกซ์คงยังไม่จบเพียงแค่นี้ และเป็นหน้าที่ของนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ที่ต้องไปแจงทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช.

จะอยู่หรือไปไม่ช้าคงเห็นกัน!!!

แต่คดีอาญาคงไม่จบง่ายๆโดยเฉพาะตัวที่อยู่เหนือไอ้โก้ หรือ นายวีระศักดิ์ เชื่อลี เพราะยิ่งสาวก็ยิ่งมัน เนื่องจากผู้ต้องหาหลุดปากว่าเค้าให้มาเอาเงินคืนแค่นี้

เหนือกว่าหัวหน้าแก๊งปล้นคือใคร

เงินก้อนนี้ของบริษัทไหนเกี่ยวโยงกับนักการเมืองคนใด

เป็นคำถามที่ชาวบ้านรอคำตอบจาก ป.ป.ช.อย่างใจจดใจจ่อ.

...

@@@@@@@@@@@@@@



ยุทธศาสตร์ศาลสถิตยุติธรรม 2555 “ยุติธรรมยุคใหม่ พัฒนาคน พัฒนาชาติ”

ในรอบปี 2554 ที่ผ่านมาศาลยุติธรรมเป็นองค์กรที่อยู่ท่ามกลางความขัดแย้งทั้งคดีการเมือง คดีฟ้องร้องทางแพ่ง และคดีอาชญากรรม มีคำถาม ของสังคมว่าในรอบปี 2555 และปีต่อไปศาลจะ พัฒนาไปในทิศทางใด เรื่องเหล่านี้นายวิรัช ชินวินิจกุล เลขาธิการศาลยุติธรรม มีคำตอบ

นายวิรัช ชินวินิจกุล มองว่า ความเจริญก้าวหน้ามั่นคงของประเทศชาติในทุกด้าน ไม่ว่าเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ระบบยุติธรรม และการศาล เป็นภารกิจของทุกหน่วยงาน โดยมีเป้าหมายสุดท้ายคือความสงบสุขร่มเย็นของคนในชาติและนำพาองค์กรไปสู่การพัฒนาทัดเทียมนานาอารย-ประเทศ เป็นที่ยอมรับในระดับสากล


ศาลยุติธรรมจึงมีแผนยุทธศาสตร์นโยบายประ-ธานศาลฎีกา ในการพัฒนาศาลยุติธรรม มุ่งเน้นไปที่ การพัฒนางาน พัฒนาคน พัฒนากฎหมาย เพื่อเป้าหมายในการพัฒนา ชาติอย่างต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง

เมื่อถามว่า ศาลยังเป็นตุลาการภิวัฒน์หรือไม่ ขอตอบว่า ถ้าการเป็นตุลาการภิวัฒน์หมายถึงระบบตุลาการทุกองคาพยพมีการปฏิรูปและพัฒนาในเชิงรุกโดยมีเป้าหมายเพื่อเป็นเสาหลักความยุติธรรมของสังคม แก้ปัญหาของประเทศชาติ ประชาชน เพื่อให้บ้านเมืองก้าวพ้นวิกฤติในบางสถานการณ์ จึงจะเป็นความหมายที่ถูกต้อง

มิใช่หมายถึงระบบตุลาการเป็นใหญ่ มีอำนาจเหนือองค์กรทุกฝ่ายหรือไปก้าวล้ำ แทรกแซงอำนาจหน้าที่ของฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ

ปัจจุบัน ศาลยุติธรรมมีประมุขคนล่าสุดคือ นายไพโรจน์ วายุภาพ ประธานศาลฎีกา ที่เพิ่งได้รับการโปรดเกล้าฯ เข้าสู่ตำแหน่งเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน 2554 ท่านเป็นตุลาการนักวิชาการที่รอบรู้ เป็นแบบอย่างตุลาการที่สมถะเรียบง่าย ดำรงตน อยู่ในจริยธรรมอย่างเคร่งครัดเป็นที่เชื่อถือยอมรับศรัทธาของทุกหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม มีภาวะผู้นำและวิสัยทัศน์คือต้องการให้ผู้พิพากษายึดมั่น อยู่บนความถูกต้องชอบธรรมตามหลักกฎหมาย มีความเป็นธรรม เป็นกลาง ปราศจากอคติในการปฏิบัติ หน้าที่ทั้งคำพูดและการกระทำ

รวมทั้งมีนโยบายสำคัญในการพัฒนา 4 ด้าน คือ 1.การพัฒนางานเพื่อความยุติธรรมด้วยการให้การพิจารณาคดีของศาลต้องรวดเร็ว ถูกต้อง เที่ยงธรรม คำพิพากษาหรือคำสั่งต้องประกอบด้วยเหตุผลถูกต้องตามข้อเท็จจริงและบทกฎหมาย ส่งเสริมการนำเทคโน-โลยีมาใช้เพื่อสนับสนุนงานอำนวยความยุติธรรม และกำหนดให้การเร่งรัดคดีค้างในศาลสูงเป็นวาระเร่งด่วน 2.ต้องให้การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพและการบริการแก่ประชาชนอย่างเสมอภาคเท่าเทียม สนับสนุนการระงับข้อพิพาททางเลือก ผลักดันการ ใช้แนวทางการลงโทษที่หลากหลายแทนการลงโทษจำคุก เสริมสร้างสถาบันครอบครัวให้เข้มแข็ง และ คุ้มครองสิทธิเด็กและสตรี

3.เสริมสร้างความร่วมมือทางการศาลกับศาลและกระบวนการยุติธรรมระหว่างประเทศ เพื่อพัฒนาบุคลากรและการบริหารงานยุติธรรมให้มีประสิทธิภาพและ 4.ให้ความสำคัญกับจริยธรรมของตุลาการ โดย เฉพาะอย่างยิ่งการวางตนเป็นกลางและรักษาความบริสุทธิ์ยุติธรรม ส่งเสริมความเชี่ยวชาญของผู้พิพากษาในทุกชั้นศาลอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น

เมื่อมีคำถามว่า ศาลยังเป็นที่พึ่งของประชาชนได้หรือไม่ ขอตอบว่า ผู้พิพากษาคือ ปุถุชนคนธรรมดา มีวัยวุฒิความเชื่อค่านิยมที่ไม่เหมือนกัน แต่เมื่อเข้าสู่ตำแหน่ง ระบบศาลยุติธรรมจะมีกระ-บวนการฝึกอบรมประเมินผลที่เข้มข้นต่อเนื่อง ทั้ง คุณธรรม จริยธรรมและดำรงตน ชี้ขาดตัดสินคดีด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม ซึ่งผู้พิพากษาศาลยุติธรรมนั้น หากพบว่ามีใครประพฤติปฏิบัติไม่ถูกต้องเหมาะสม จะมีการพิจารณาลงโทษตามพฤติการณ์แห่งความเสียหายเป็นรายกรณีไป

แนวโน้มคดีในอนาคตนั้น เห็นว่า สำหรับคดีฟ้องกับแพทย์ ปี 53 ศาลยุติธรรมได้ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขจัดอบรมแพทย์ทั่วประเทศ เพื่อให้ความรู้ ในการเบิกความในศาล และการดำเนินคดีในศาล คดีจึงจบด้วยวิธีการไกล่เกลี่ยประนีประนอมข้อพิพาท ซึ่งทำให้การพิจารณาคดีรวดเร็วยิ่งขึ้น

กรณีคดีผู้บริโภค ได้มีการ จัดทำคู่มือการปฏิบัติงานของเจ้าพนักงานคดีคุ้มครองผู้บริโภคเพื่อให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน มีการรวบรวมและเผยแพร่คำวินิจฉัยชี้ขาดของประธาน ศาลอุทธรณ์ในคดีคุ้มครองผู้บริโภค รวบรวมปัญหาข้อขัดข้องเกี่ยวกับการดำเนินคดี เพื่อนำไปสู่การแก้ไขกฎหมาย เพื่อให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายในการคุ้มครองผู้บริโภค โดยเฉพาะประชาชนทั่วไป มีการจัดสัมมนาบรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับคดี คุ้มครองผู้บริโภคแก่ศาลทั่วราชอาณาจักรและองค์กรเอกชนภาคธุรกิจ

ส่วนคดีสิ่งแวดล้อม มีการจัดตั้งแผนกคดีสิ่งแวดล้อมในศาลแพ่ง และในศาลฎีกา มีการยกร่าง กฎหมายที่เกี่ยวกับวิธีพิจารณาคดีสิ่งแวดล้อม ซึ่งใกล้ แล้วเสร็จ ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนผู้เป็นความสามารถเข้าถึงศาลและกระบวนการยุติธรรมได้สะดวกรวดเร็ว ประหยัด เป็นธรรมและทั่วถึง

สำหรับคดีคั่งค้างนั้น มองว่า ในปีงบประมาณ พ.ศ.2555 ศาลยุติธรรมมีปริมาณคดีที่ค้างพิจารณามาจากปี 2554 รวมทุกชั้นศาล จำนวน 238,594 คดี แบ่งเป็นคดีค้างในศาลชั้นต้น 171,665 คดี ศาล ชั้นอุทธรณ์ 28,971 คดี และศาลฎีกา 37,958 คดี ซึ่งหากเปรียบเทียบกับคดีที่ค้างมาจากปีงบประมาณ พ.ศ.2553 จะพบว่าศาลยุติธรรมมีปริมาณคดีค้างลดลงร้อยละ 4.73

อ่านแล้วมั่นใจได้แน่แท้ว่า ศาลยุติธรรม ที่มีผู้นำอย่าง นายไพโรจน์ วายุภาพ เป็นประธานศาลฎีกา ที่มี นายวิรัช ชินวินิจกุล เป็นเลขาธิการศาลฯ จะนำองค์กรไปสู่การพัฒนากระบวนการยุติธรรมให้ยั่งยืนต่อไป.

...


@@@@@@@@@@@@@@

การเมืองเปลี่ยนเก้าอี้ ผบ.ตร.สะดุด “วิเชียร”ถอย“เพรียวพันธ์”ผงาด!

เป็นสัจธรรมคู่กับเก้าอี้ ผบ.ตร. เมื่อใดที่มี การเปลี่ยนขั้วการเมือง คนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ ผบ.ตร.


หนีไม่พ้นสำหรับ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. ที่จำใจต้องขยับลุกพ้นเก้าอี้เปิด ทางให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รอง ผบ.ตร. ที่รั้งอาวุโส และมีศักดิ์เป็นพี่ชาย คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ ภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

ขวบปีที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่า ทันทีที่พรรคเพื่อไทยได้รับเสียงสนับสนุนเข้ามาบริหารประเทศ กระแสข่าวปลด พล.ต.อ.วิเชียร ดังขึ้นมาเรื่อยๆ แต่ไม่ได้ทำให้ พล.ต.อ.วิเชียร ท้อแท้ ก้มหน้าทำงานในหน้าที่อย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง

จนฝ่ายการเมืองต้องจัดหนักปล่อย “คลิปบ่อน” ย่านรัชดาฯ เขย่าเก้าอี้ ผบ.ตร.ของ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย และ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ส่งสัญญาณเก้าอี้ พล.ต.อ.วิเชียรร้อน

ทั้งที่วงการตำรวจทราบดีว่า พล.ต.อ.วิเชียรไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง หรือมีผลประโยชน์จากบ่อน สถานบริการ กลับกันตลอดที่รับตำแหน่งสั่งกำชับจับกุมอบายมุขสถานบริการต่อเนื่อง

แต่ทางออกเดียวที่จะไม่ทำให้องค์กรตำรวจพินาศไปต่อหน้าต่อตา

พล.ต.อ.วิเชียรจำเป็นต้องยอมถอยลาออกจากตำแหน่ง ยื่นหนังสือสมัครใจรับตำแหน่งเลขาธิการ สมช.

เป็นการแสดงสปิริตของผู้นำตำรวจที่สมควรยกย่องเป็นตัวอย่าง เป็นการก้าวลงจาก ตำแหน่งอย่างสง่างาม สมเกียรติ และสมศักดิ์ศรีของผู้นำตำรวจ

เสียงสะท้อนตำรวจส่วนใหญ่เห็นว่า พล.ต.อ.วิเชียร มีความมุ่งมั่นทำงาน มีความประนีประนอมสูง ช่วยเชื่อมประสานความรักความสามัคคีของสังคมตำรวจ ใส่ใจดูแลสวัสดิการตำรวจชั้นผู้น้อย แต่ไม่ได้คัดค้าน พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ที่ทำงานสืบสวนปราบปราม

เรื่องยาเสพติดอย่างจริงจัง ตลอดชีวิตราชการ

หากมองย้อนกลับไป พล.ต.อ.เพรียวพันธ์เองเคยถูกเล่นงานจากฝ่ายการเมืองมาโดยตลอด ต้องถูกกดขี่ข่มเหงอย่างไม่เป็นธรรมมาหลายยุคหลายสมัย

พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ถูกป้ายสีว่าเป็นคนฝ่าย การเมือง ทั้งที่ยุค พ.ต.ท.ทักษิณ เรืองอำนาจ พล.ต.อ. เพรียวพันธ์ ไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวภารกิจทางการเมือง ไม่ได้แสดงอำนาจเหมือนตำรวจลิ่วล้อคนอื่น ทั้งที่เป็นญาติสนิท แต่ก้มหน้าก้มตาทำงานที่ถนัดปราบ-ปรามยาเสพติดจนมีผลงานเป็นที่ยอมรับ

เมื่อถึงยุคที่ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ เข้ามากุม อำนาจในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องรีบพลิกฟื้น ความเชื่อมั่นศรัทธาตำรวจ กลับคืนมาให้ได้โดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจที่ต้องสกัดกั้นการแทรกแซงจากนักการเมือง และสร้างขวัญกำลังใจ ทำให้เกิดความเชื่อมั่นในหมู่ข้าราชการตำรวจด้วยกัน

ด้วยวิถีชีวิตส่วนตัวที่เรียบง่าย สุภาพ อ่อนน้อมถ่อมตน และมีคุณธรรม จนได้ชื่อว่า เป็น “สุภาพบุรุษสีกากี” จึงเชื่อได้ว่า พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ จะนำพา องค์กรตำรวจไปสู่เส้นทางที่ควรจะเป็น และรักษาไว้ซึ่งศักดิ์ศรีตำรวจไทย

จึงต้องบันทึกไว้อีกครั้งว่า พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ เป็น ผบ.ตร.คนที่ 8 ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ คนแรกคือ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ตามด้วย พล.ต.อ.พรศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ และพล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี

เกิดเมื่อวันที่ 22 พ.ย.2494 การศึกษาชั้นมัธยม ร.ร.กรุงเทพคริสเตียน ปริญญาตรี นิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ปริญญาโทมหาวิทยาลัยอิสเทิร์น เคนตักกี สหรัฐอเมริกา นักเรียนนายร้อย อบรม นอร.รุ่น 16

เริ่มต้นรับราชการเป็นรองสารวัตรกองกำกับการสืบสวนเหนือ ตำแหน่งสำคัญ สวส.สน.ทุ่งมหาเมฆ สวป.สน.นางเลิ้ง ผกก.ประจำ ป. รอง ผบก.ทท. รอง ผบก.ป. เป็นนายพลครั้งแรก ผบก.ประจำศึกษา ผบก.ตม.2 ผช.ผบช.ก.รอง ผบช.ก. ติดยศ พล.ต.ท.ที่ ผบช.ปส. ขึ้น ผช. ผบ.ตร.ปี 2545 และรอง ผบ.ตร. 2547 จนอาวุโสสูงสุดหลายปี

นับว่า พล.ต.อ.เพรียวพันธ์เหมาะสมกับตำแหน่ง ผบ.ตร. ที่จะเกษียณราชการในปีนี้ 2555.