การมาถึงของชีวิตวิถีใหม่ หรือ New Normal ไม่เพียงแต่เป็นตัวเร่งทำให้ผู้คนเข้าสู่โหมดการใช้ชีวิตแบบดิจิทัลมากขึ้นเท่านั้น แต่ในวงการการแพทย์ทั่วโลกก็ขยับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อก้าวสู่ยุค “การแพทย์แห่งอนาคต” ด้วย โดยโรงพยาบาลในประเทศไทยเองก็ตอบรับเทรนด์ “การแพทย์แห่งอนาคต” นี้ ผ่านการมุ่งเน้นยุทธศาสตร์ “Smart Hospital” ที่ผสานกันระหว่างเทคโนโลยีรูปแบบต่างๆ ที่อำนวยความสะดวกให้ผู้คนเข้าถึงการแพทย์ได้ง่ายขึ้น และระบบบริหารจัดการภายในโรงพยาบาลที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ในวันนี้ เราได้เห็นความมุ่งมั่นของโรงพยาบาลรัฐขนาดใหญ่ 5 แห่ง ที่กำลังเดินสู่เป้าหมายของการเป็น Smart Hospital อย่างจริงจัง โดยพัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อให้คนไข้ได้ใช้งานอย่างเต็มรูปแบบแล้ว ได้แก่ 1) แอป Chula Care โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย 2) แอป CBH PLUS โรงพยาบาลชลบุรี 3) แอป TUH for All โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ 4) แอป RJ Connect โรงพยาบาลราชวิถี และ 5) แอป NIT PLUS สถาบันประสาทวิทยา
แอปพลิเคชันช่วยให้คนไทยเข้าถึงบริการทางการแพทย์ง่ายขึ้นอย่างไร
การแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นตัวเร่งให้บริการด้านสุขภาพแบบ Smart Hospital และแอปพลิเคชันที่เชื่อมต่อระหว่างโรงพยาบาลและคนไข้มีความสำคัญยิ่งขึ้น เพราะนอกจากจะช่วยบริหารจัดกระบวนการทำงานของบุคลากร ด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยแบ่งเบาภาระ และจัดการงานเอกสารที่ไม่จำเป็นต่างๆ แล้ว การมีแอปพลิเคชันที่เชื่อมต่อระหว่างคนไข้และระบบของโรงพยาบาลยังช่วยเพิ่มคุณภาพและความปลอดภัยในการดูแลผู้ป่วย เนื่องจากสามารถลดระยะเวลาที่ผู้ป่วย OPD ต้องอยู่ที่โรงพยาบาลเพื่อรอรับบริการในขั้นตอนต่างๆ ได้ รวมถึงในอีกด้านหนึ่งยังทำให้ทางโรงพยาบาลสามารถบันทึกข้อมูลของผู้ป่วยได้อย่างเป็นระบบ เรียกดูข้อมูลได้รวดเร็ว สำหรับใช้ประโยชน์ในการรักษาผู้ป่วยได้อย่างแม่นยำ อีกทั้งสามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปพัฒนาการรักษาให้ดียิ่งขึ้นในอนาคตได้
นอกจากนี้แอปพลิเคชันที่ถูกพัฒนาขึ้นเหล่านี้ ยังเพิ่มประสบการณ์ที่ดีต่อการรักษาให้กับผู้ป่วยได้อีกด้วย อย่างเช่น 5 โรงพยาบาลรัฐที่กล่าวถึง ก็สามารถใช้ประโยชน์จากฟีเจอร์สำคัญถึง 7 ฟีเจอร์* ที่มาช่วยให้ผู้ป่วยเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น ตั้งแต่ก่อนเข้ารับการรักษา ไปจนถึงระหว่างเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล อาทิ
⦁ บริการตรวจสอบสิทธิ์ - เชื่อมต่อกับฐานข้อมูลของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ให้ผู้ป่วยเช็กสิทธิ์รักษาพยาบาล 3 กองทุน ทั้งบัตรทอง ประกันสังคม และสวัสดิการข้าราชการ
⦁ บริการนัดหมาย - ทำนัดหมาย และแสดงข้อมูลรายการนัดหมายพร้อมส่งข้อความแจ้งเตือน
⦁ บริการใบนำทาง - รู้ลำดับการเข้ารับบริการ ทั้งขั้นตอนการเข้าพบแพทย์ พยาบาล ชำระเงิน รับยา ตรวจ X-ray เจาะเลือด ตรวจแล็บ เป็นต้น
⦁ บริการชำระเงิน - รองรับการชำระเงินทั้งผ่านแอป K PLUS, สแกน Thai QR Code, บัตรเครดิต, บัตรเดบิต
⦁ บริการบริจาคเงิน - อำนวยความสะดวกให้ผู้ประสงค์ที่จะบริจาคเงินสมทบแก่โรงพยาบาล
⦁ ข้อมูลข่าวสาร - นำเสนอข้อมูลข่าวสารของโรงพยาบาล ข้อมูลด้านสุขภาพ
⦁ ข้อมูลแผนที่ - แสดงแผนที่ตั้งอาคาร คลินิก ศูนย์อาหาร ร้านค้า ในโรงพยาบาล
เผยเบื้องหลังการพัฒนาระบบบริการด้านสุขภาพ ที่มีธนาคารกสิกรไทย นำความเชี่ยวชาญมาสนับสนุนการพัฒนา Digital Healthcare Platform
ความสำเร็จในการนำแอปพลิเคชันมาให้บริการคนไข้ในโรงพยาบาลในวันนี้ เกิดขึ้นจากความร่วมมือกันระหว่างภาคสาธารณสุขกับธนาคารกสิกรไทย ซึ่งต่างมีความมุ่งมั่นเดียวกันนั่นคือ การยกระดับคุณภาพการรักษาและการเข้าถึงระบบสาธารณสุขของประชาชนที่ทั่วถึงมากยิ่งขึ้น
คุณขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ธนาคารกสิกรไทยมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญจากการพัฒนาและบริหารดิจิทัลแพลตฟอร์มต่างๆ ที่ตอบสนองความต้องการหลากหลายกลุ่ม อาทิ K PLUS ที่ใช้ได้ทั้งในและต่างประเทศ, แอป CU Nex ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, แอป TAGTHAi ที่ช่วยสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ฯลฯ ธนาคารจึงต้องการนำศักยภาพดังกล่าวมาใช้ในการพัฒนานวัตกรรมเพื่ออำนวยประโยชน์สูงสุดให้กับสังคมไทยในวงกว้างได้อย่างแท้จริง โดยโรงพยาบาลเป็นหน่วยงานสำคัญที่มีบทบาทต่อการส่งเสริมสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีของคนไทยทุกคน ความร่วมมือกับโรงพยาบาลเพื่อสนับสนุนการพัฒนา Digital Healthcare Platform จึงมุ่งเน้นการช่วยลดภาระของโรงพยาบาล และเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการกับคนไข้และผู้ที่มาใช้บริการของโรงพยาบาลที่มีผู้ใช้บริการในแต่ละวันเป็นจำนวนมาก โดยธนาคารฯ จึงได้เข้ามาสนับสนุนโรงพยาบาลในการพัฒนาแอปพลิเคชันสำหรับคนไข้ด้วยระบบบริการสุขภาพดิจิทัลที่เชื่อมโยงระบบนิเวศการใช้บริการและการบริหารจัดการของโรงพยาบาลให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังสอดคล้องกับวิถีนิวนอร์มอลที่เป็นผลจากสถานการณ์แพร่ระบาดเชื้อโควิด-19
การพัฒนาแอปพลิเคชันของแต่ละโรงพยาบาล โดยเริ่มต้นจากการมองที่ความสำคัญขั้นพื้นฐาน ทำให้ธนาคารกสิกรไทยพบแกนหลักที่น่าสนใจ 3 ประการ นั่นคือ การวางโครงสร้างการเชื่อมต่อข้อมูลจากฐานข้อมูลกลางของโรงพยาบาล (Hospital Information System: HIS) มาแสดงที่แอปพลิเคชันและแพลตฟอร์ม เพื่อให้แสดงผลได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว ช่วยลดขั้นตอนและเวลาทำงาน การพัฒนารูปแบบการใช้งานด้วย User Interface & User Experience ที่ใช้งานง่าย ตั้งแต่ก่อนเข้ารับบริการ ตลอดจนการรับบริการที่โรงพยาบาล รวมถึงการพัฒนาการเชื่อมต่อระบบการชำระเงินบนแอป ธนาคารกสิกรไทยได้เชื่อมต่อระบบช่วยอำนวยความสะดวกได้มากขึ้น พร้อมทำให้ข้อมูลการเงินเข้าสู่ระบบการจัดการของโรงพยาบาลได้อย่างรวดเร็วแม่นยำยิ่งขึ้น
ความสำเร็จในการร่วมสนับสนุนการพัฒนาแอปพลิเคชันดังกล่าว สามารถแสดงถึงความตั้งใจของธนาคารกสิกรไทยที่จะมีส่วนช่วยให้คนไทยสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพได้สะดวกและลดเสี่ยงมากยิ่งขึ้น
แบบนิวนอร์มอล และเร็วๆ นี้ ธนาคารกสิกรไทย มีแผนร่วมมือกับกรุงเทพมหานคร ร่วมกันพัฒนาแอปพลิเคชันให้กับโรงพยาบาล 11 แห่งภายใต้สังกัดสำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร อีกด้วย
*บางฟีเจอร์ใช้ได้เฉพาะบางโรงพยาบาล อยู่ระหว่างดำเนินการให้ใช้งานกับแอปโรงพยาบาลอื่นๆ