กาลเวลาแปรเปลี่ยนเทคโนโลยี รุกคืบ “อาชีพหมอลำพื้นบ้าน” ที่เคยเป็นสุดยอดแห่งความบันเทิงคนอีสานตกอยู่ในฐานะที่นั่งลำบาก “ผู้จ้างงานน้อยลง” ความนิยมถูกกลืนหายตามยุคสมัย
แล้วกลับถูกซ้ำเติมด้วย “โควิด-19 ระบาดกินเวลาลากยาวไม่มีคนจ้างงานมาเกือบสองปี” ส่งผลกระทบต่อ “หมอลำซบเซา” หลายคณะแบกรับภาระทนไม่ไหวหนีหายยุบวงกัน “พระเอก-นางเอก” ที่เคยโดดเด่นสร้างความบันเทิงให้คนอีสานต่างพากันแตกกระเจิงไปคนละทิศละทางปรับเปลี่ยนอาชีพเริ่มต้นชีวิตใหม่
แต่ก็ยังมี “บางคน” ที่คงโลดแล่นอยู่บนเส้นทางสายนี้ด้วยการปรับตัวไร้เวทีโชว์หันมา “ร้องรำแบบเปิดหมวก” เพื่อถ่ายทอดวิถีชีวิตกลิ่นอายของชาวอีสานผ่านทำนองเพลงสร้างสรรค์ผลงานความบันเทิงให้ผู้คน เพื่อแลกเงินบริจาคไม่มากแต่พอเลี้ยงชีวิตเลี้ยงครอบครัวในช่วงนี้
“ทีมข่าวสกู๊ปหน้า 1” ลงพื้นที่ภาคอีสานตามถนนนครราชสีมา-เดชอุดม หมายเลข 24 แวะเข้าพักที่ “ปั๊มน้ำมัน ปตท.ปักธงชัย” บังเอิญพบกับ พ่อวิชัย และแม่จันเพ็ญ เพชริน อดีตพระเอก-นางเอก คณะหมอลำวงอ๊อดน้อยเพชรินทร์ที่หิ้วเครื่องเสียงแบบพกพามาเปิดหมวกเล่นซาวด์ดนตรีร้องหมอลำสด...เป่าแคน
สร้างความเพลิดเพลินสนุกสนานให้ “ผู้ชื่นชอบดนตรีแนวพื้นบ้าน” เดินทางผ่านไปมาแวะเวียนมายืนชมการแสดงหมอลำสดแล้วประทับใจก็บริจาคเงินใส่ลงใน “กระติ๊บข้าว” ที่เตรียมไว้ไม่ขาดสาย
พ่อวิชัย เล่าว่า ความที่ชีวิตเกิดมาจนเติบโตในสภาพแวดล้อมท้องถิ่นอีสานใน อ.สำโรง จ.อุบลราชธานี ได้สัมผัสธรรมชาติความเป็นลูกทุ่งอีสาน ผูกพันกับการร้องรำทำนองเพลงแนวหมอลำมาตลอด
...
สมัยนั้นศิลปินชื่นชอบเป็นไอดอล “พ่อทองคำ เพ็งดี” ผู้ขับร้องอันมีน้ำเสียงเป็นเอกลักษณ์ เล่นลูกคอหลายชั้นอันโดดเด่น สร้างความประทับใจต่อวงการหมอลำอีสานที่มีชื่อเสียงในละแวกพื้นที่ จ.อุบลฯ
กลายเป็นแรงผลักดันให้ “ฝึกหัดร้องหมอลำเรื่องต่อกลอน” ตั้งแต่เด็กจนเข้าเรียนชั้น ป.1 ปี 2504 มักร้องให้ครู เพื่อนฟังอยู่ตลอดทั้งยังเป็นตัวแทนทำกิจกรรมอยู่เสมอ ทำให้มีชื่อเสียงมีโอกาสออกไปร้องตามงานวัด “ได้ค่าตัวบ้างไม่ได้บ้าง” แต่ทุกครั้งที่มีคนเชิญไปร้องหมอลำก็ไม่เคยปฏิเสธ เพราะชื่นชอบทางด้านนี้
กระทั่งเรียนจบชั้น ป.4 แล้ว “คณะหมอลำ ป.ลำดวน” เข้ามาตามตัวให้ร่วมคณะออกเดินสายรับงานในพื้นที่ จ.อุบลฯ สลับกับขึ้น “ชกมวยวัด” เป็นบางครั้งในการหารายได้ 6 ปี และเริ่มมีชื่อเสียงโด่งดังก็ย้ายมาอยู่ “คณะหมอลำ ส.วิไล” บ้านน้ำเที่ยง ต.ห้วยขะยุง อ.วารินชำราบ จนได้รับบทเป็นพระเอกหมอลำนับแต่นั้น
แล้วเดินสายออกโชว์การแสดงตามงานวัด...งานมงคล ช่วงออกพรรษาถึงเข้าพรรษาใหม่เจ้าภาพจะมาจ้างงานเสมอ เช่น งานฝังลูกนิมิต งานขึ้นบ้านใหม่ งานบวช ทำให้ได้รับความนิยมมากตามหมู่บ้านจนชื่อเสียงโด่งดังไปในจังหวัดใกล้เคียง สมัยนั้นเวทีหมอลำยกพื้นเล็กน้อย “แสดงโชว์สด” ตั้งแต่สองทุ่มถึงหกโมงเช้า
“การแสดงหมอลำยุคนั้นยังไม่มีเครื่องเสียง ไม่มีเวทีอย่างเช่นทุกวัน ส่วนใหญ่เล่นกันกลางลานบ้าน มีการจุดไต้จุดกระบองให้แสงสว่าง เครื่องดนตรีหลัก คือ แคน กลอง ฉิ่ง ส่วนเนื้อหาทำนองเป็นการถ่ายทอดเรื่องราวทางศาสนา วรรณคดี คำสอน นิทานโบราณ...แล้วหยิบเอาเรื่องราวมาเล่าเป็นทำนองเพลงตามมานี้”
วิชัย บอกอีกว่า ตอนนั้นการเดินทางไปแสดงหมอลำต้อง “เดินเท้า” เพราะไม่มีรถ...“ค่าจ้างขึ้นอยู่กับระยะทางที่ต้องเดินทางไปถึงหมู่บ้าน” เริ่มต้น 700 บาทเป็นต้นไป เช่น เคยรับงานไกลสุด 50 กม. ใช้เวลาเดินเท้า 8 ชั่วโมง ออกจากบ้านแต่เช้ามืดเดินทางไปถึงงานบ่าย 4 โมงเย็น ได้รับค่าจ้าง 2,500 บาท
เปรียบเทียบค่าเงินสมัยนั้น 2,500 บาทนี้ ซื้อควาย 4 ตัว ถ้าเป็นยุคนี้ก็น่าจะเป็นเงิน 1.5 แสนบาท
ส่วนค่าตัวพระเอกหมอลำอยู่ที่ 25 บาทต่อคืน นักดนตรี 15 บาท เมื่อเริ่มมีงานจ้างเยอะขึ้น “เจ้าของคณะมีเงินมีทอง” ออกรถกระบะแบบสองแถวมารองรับงานไกลกว่าเดิม ต่อมาก็เริ่มมี “คณะหมอลำประยุกต์” เวทีใช้เครื่องเสียงมีการลงทุนเป็นธุรกิจเผยแพร่ทางวิทยุ และอัดเสียงอัลบั้มเทปจำหน่าย
ไม่นานนัก “อาจารย์ฉลาด ส่งเสริม หรือ ป.ฉลาดน้อย” ก็เห็นแววรับเข้ามาอยู่ด้วยใน “คณะเพชรอุบล” แต่ก็สลับอยู่กับ “คณะลูกแม่มูล” เก็บเกี่ยวประสบการณ์เจตนารมณ์สืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นการละเล่นหมอลำจนออกมา “ตั้งคณะอ๊อดน้อยเพชรินทร์” เพื่อเจริญรอยตามเส้นทางชีวิตหมอลำ
คราวนั้นตั้งวงใหม่ๆ “ค่าจ้าง 5,000 บาท” พัฒนาปรับปรุงระบบแสง สี เสียงให้เข้ายุคสมัย “อัปค่าจ้างหลักแสนบาท” เพื่อนำพาวงให้อยู่รอด แต่เอกลักษณ์การร้องลำคำกลอนยังคงเป็นหมอลำเช่นเดิม ตระเวนออกโชว์หมอลำทั่วฟ้าเมืองไทยตลอดปี ทั้งยังมีโอกาสได้ไปแสดงยังต่างแดนในหลายประเทศด้วย
แต่ก็มีช่วงพักวงดนตรีเข้าพรรษา 3 เดือน...ฤดูฝนการจ้างงานค่อนข้างน้อยเลยถือโอกาสหยุดให้ลูกน้อง 200 ชีวิต กลับบ้านพักผ่อนอยู่กับครอบครัว เมื่อออกพรรษาแล้วก็เริ่มงานใหม่จนถึงเมษายนของทุกปี
...
ถัดมาราว 10 กว่าปีก่อนนี้ “วงการหมอลำเริ่มซบเซาลง” ด้วยเทคโนโลยีทำให้คนรุ่นใหม่ไม่สนใจการแสดงหมอลำจนงานของคณะลดน้อยลงเกือบไม่มีคนจ้าง “ตัดสินใจวางไมค์” แล้วหันหลังให้วงการหมอลำมาพักผ่อนอยู่ จ.นครราชสีมา แต่ด้วย “ตลอดชีวิตอยู่วงการนี้” เพื่อต้องการรักษาดนตรีพื้นบ้านอีสาน
ทั้งอยู่บ้านว่างๆก็เลยหาอะไรทำ “ลุกขึ้นมาเป่าแคนเปิดหมวกหารายได้” ส่งลูกหลานเรียนหนังสือเล็กๆน้อยๆเกิดกระแสนิยมจนมี “ผู้ใหญ่ใจดี” ติดต่อให้มาเล่นประจำอยู่ตลาดเซฟวัน อ.เมืองนครราชสีมา
ต่อมาก็เจอพิษ “วิกฤติโควิด-19” ส่งผลให้ตลาดเซฟวันปิดชั่วคราวต้อง “เก็บของกลับบ้าน” เพราะไม่มีคนจ้างงาน ไม่มีเวทีแสดงเกือบปี สุดท้ายต้องออกมา “เปิดหมวกแสดงสด” สร้างสรรค์ความบันเทิงให้ผู้คนในปั๊มน้ำมันแห่งนี้ตั้งแต่ 8 โมงเช้าจนถึง 6 โมงเย็น มีรายได้พอเลี้ยงปากท้องวันละ 2,000-5,000 บาท
ล่าสุดมาเจอโควิด-19 ระบาดระลอก 3 “ประกาศเคอร์ฟิว” ต้องหยุดยาวตั้งแต่เดือน เม.ย.- ส.ค.ที่ผ่านมานี้ ก่อนกลับมาเปิดหมวกแสดงหมอลำใหม่ได้ 1 เดือน ตอนนี้ก็มีผู้ติดต่อจ้างงานแสดงมาเป็นระยะ เพราะเล่นได้ทุกสไตล์ตั้งแต่วงขนาดเล็กจนถึงเต็มวงใหญ่ที่สามารถเรียก “คณะอ๊อดน้อยฯ” กลับมาได้เสมอ
พ่อวิชัย ย้ำอีกว่า แม้ครั้งหนึ่งเคยเป็น “เจ้าของคณะหมอลำใหญ่” แต่ต้องเจอปัญหา “ความนิยมคนจ้างลดลงตามยุคสมัย” จนขาดรายได้ไม่พอเลี้ยงลูกน้อง “ปิดตัวลง” แล้วออกมาเปิดหมวกเล่นหมอลำตามริมถนน แต่ก็ยังภูมิใจที่ได้มีโอกาสร้องหมอลำอันเป็นอาชีพที่รักมาแต่เด็ก ทำให้ไม่เคยยอมย่อท้อต่อชีวิตนี้
...
อันเป็นจุดเริ่มต้น “ลุกขึ้นยืนใหม่จากก้าวเล็กๆ” รู้จักปรับตัวตามภาวะเหตุการณ์เป็นช่องทางหารายได้ที่พออยู่ได้แล้ว “มีเงินทำบุญสร้างวัด ช่วยบริจาคให้ผู้เดือดร้อน” จากภัยพิบัติธรรมชาติทุกเดือนด้วย
เคยสัญญากับตัวเอง “จะหยุดร้องหมอลำ” แต่ต้องเสียสัจจะวาจายกมือไหว้ขึ้นเหนือหัวขอขมาครูบาอาจารย์ไม่อาจทิ้งความเป็นศิลปินไปได้ เพราะเป็นอาชีพที่รักมากถูกฝังอยู่ในสายเลือด จึงกลับคำพูดใหม่ขอร้องเพลงไปตลอดชีวิตนี้จนกว่าจะหาไม่ แล้วให้คำมั่นจะสืบสานถ่ายทอดหมอลำอีสานไปจนลมหายใจสุดท้าย
ตอกย้ำว่า “หมอลำ” มีมาแต่สมัยโบราณอันมีเนื้อหาสาระเป็นคติสอนใจได้ทุกเรื่อง “ผู้ฟัง” มักได้แนวความคิด...ความสนุกสนานที่เกิดจินตนาการอารมณ์คล้อยตามไป แต่สิ่งนี้กำลังเลือนหายไปจากท้องถิ่นทีละน้อยจากการเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย “บางคณะ” ก็ปรับให้ทันยุคนำมาประยุกต์เป็น “หมอลำซิ่ง” มากมาย
ด้วยการนำเอาดนตรีชาติตะวันตกเข้ามาผสมผสานเครื่องดนตรีพื้นบ้านอีสาน เช่น แคน โหวด พิณไฟฟ้า ฉิ่งฉาบ ให้มีความสนุกยิ่งขึ้น ทั้งยังมีหางเครื่องหญิงมาเต้นลีลาเร้าใจไปกับจังหวะดนตรี ทั้งกีตาร์ กลองชุด กีตาร์เบสประกอบแสดง แสง สี เสียง ทันสมัยแตกต่าง “หมอลำกลอน” โดยสิ้นเชิง
นี่คือ “วิถีชีวิตพระเอกหมอลำ” บนเส้นทางอันเป็นรากเหง้าทางวัฒนธรรม “คนอีสาน” นับวันกำลังหายไป ไม่ค่อยมีคนสนใจสานต่อ สุดท้าย...อาจเลือนหายกลายเป็นตำนานไปในที่สุด.